วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

สภาเทพแห่ง "โอลิมปัส"

     เพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นภาพของบรรดาเหล่าทวยเทพให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในบทนี้จึงต้องมาดูกันว่า ใครเป็นใครในบรรดาเทพชั้นสูงบนสวรรค์ "โอลิมปัส" ซึ่งแน่นอนที่สุดกลุ่มแรกที่ต้องมาสนใจกันก็คือบรรดาเทพทั้ง 12 แห่งโอลิมปัส หรือที่เรียกกันว่า คณะเทพแห่งโอลิมปัส

     สภาเทพแห่งโอลิมปัส (Olympus) มีเทพและเทพีทั้งหมด 12 องค์


ซูส (Zeus)

     1. ซูส (Zeus) เป็นพระบิดาของบรรดาเทพเจ้าเหล่าอมตชน รวมทั้งเป็นประมุขแห่งสวรรค์ด้วย ซูสเป็นบุตรแห่งโครนัสกับรีอา มีพี่น้องอีก 5 องค์ คือ ดีมิเตอร์(Demeter) ฮาเดส(Hades) ฮีร่า(Hera) เฮสเทีย(Hestia) และโพไซดอน(Poseidon)
     ซูสมีอาวุธเป็น Thunderbolt(สายฟ้า) มีนกประจำพระองค์ คือ นกอินทรี มีสถานศักดิ์สิืทธิ์ที่ อาร์คอเดีย(Arcadia) ดอโดน่า(Dodona) และโรเดส(Rhodes) ซึ่งจะมีการรำลึกถึงพระองค์ โดยการจัดแข่งกีฬาโอลิมปิค 4 ปีต่อครั้ง บนภูเขาโอลิมปัสนั่นเอง
     พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของไทแทนโครนัส และไทแทนรีอา ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่าพระองค์ได้สมรสกับเทพีฮีร่า(Hera) แต่ก็มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า ที่อ้างว่าคู่สมรสของเทพซูส แท้จริงแล้วคือเทพีไดโอเน่(Dione)
     เทพซูสมักมีชื่อเสียงในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ด้วยเช่นนั้น พฤติกรรมของพระองค์ทำให้เกิดผู้สืบเชื้อสายอยู่หลายองค์และหลายคนด้วยกัน อาทิเช่น เทพีอาเธน่า เทพอพอลโล เทพีอาร์ทีมิส เทพเฮอร์มีส เทพีเพอร์ซิโฟเน่ เทพไดโอนีซูส วีรบุรุษเพอร์ซีอุส วีรบุรุษเฮอร์คิวลิส เฮเลนแห่งทรอย กษัตริย์ไมนอส และเหล่าเทพีมิวเซส
     นามของพระองค์ในตำนานเทพปกรณัมโรมัน คือ เทพจูปิเตอร์(Jupiter) และนามในตำนานอีทรูสแคน คือ เทพไทเนีย(Tinia)



โพไซดอน (Poseidon)

     2. โพไซดอน(Poseidon) เทพเจ้าแห่งท้องทะเลของกรีก เป็นบุตรแห่งโครนัสกับรีอา มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันอีก 5 องค์ คือ ดีมิเตอร์ ฮาเดส ฮีร่า เฮสเทีย และ ซูส
     โพไซดอนเป็นผู้ที่ประทานม้าให้แก่มนุษย์ เคยช่วยอพอลโลสร้างกำแพงเมืองทรอย และยังสร้างความเกลียดชังที่ไม่อาจแก้ไขได้ให้แก่ทรอยด้่วย หลังจากที่ทรงทำอุบายให้นำม้าไม้โทรจัน(Trojan) เข้าไปในเมือง สัญลักษณ์ของพระองค์ คือ สามง่ามหรือตรีศูล ที่สามารถแหวกน้ำทะเล และทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้
     รูปลักษณ์ของโพไซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ครั้งหนึ่งโพไซดอนเคยคิดจะโค่นอำนาจของซูส โดยร่วมมือกับฮีร่าและอาเธนนา แต่ไม่สำเร็จจึงถูกซูสลงโทษโดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโล
     โพไซดอนมีมเหสีองค์หนึ่ง ที่เป็นหญิงรับใช้ของอาเธนา คือ เมดูซ่า(Medusa) ก่อนที่จะถูกสาปให้มีผมเป็นงู เพราะโพไซดอนหลงใหลในความงามของเมดูซ่า เมื่ออาเธนาทราบเรื่องจึงสาปให้เมดูซ่าเป็นปิศาจที่มีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด เมื่อวีรบุรุษเพอร์ซิอุสตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้ว เลือดของเมดูซ่าที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัวคือ เพกาซัส(Pegasus) และ คริสซาออร์(Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้งเพกาซัสและคริสซาออร์เป็นลูกของโพไซดอนด้วย
     โพไซดอนมีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพไซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล
     ในสมัยโบราณ ที่แหลมสุนิออน ห่างจากกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซไม่มาก มีวิหารที่สร้างถวายแด่โพไซดอนอยู่





ดีมิเตอร์ (Demeter)

     3. ดีมิเตอร์(Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และเกษตรกรรม
     ดีมิเตอร์ เป็น 1 ใน 3 น้องสาวที่เป็นมเหสีของซูส เทพีดีมิเตอร์มีธิดาองค์หนึ่งทรงนามว่า พรอสเซอไพน์(Proserpine) หรือ เพอร์ซิโฟเน่ เป็นเทพีครองฤดูผลิตผลของพีชทั้งปวง ซึ่งถูกเทพฮาเดสลักพาตัวไปเป็นคู่ครองในยมโลก ดังมีเรื่องพิสดารดังนี้
     หลังจากที่ฮาเดสหลอกล่อจนสามารถจับตัวเพอร์ซิโฟเน่ได้แล้วเทพฮาเดสก็เร่งขับรถไปจนถึงแม่น้ำไซเอนี(Cyane) ซึ่งขวางหน้าอยู่เห็นในแม่น้ำเกิดปั่นป่วน แผ่ขยายท่วมท้นตลิ่งสกัดกั้นตัวเทพเอาไว้ จึงชักรถไปทางอื่นแล้วใช้ง่าม 2 แฉก อาวุธประจำกายแทงลงบนแผ่นดินเพื่อให้แยกออกเป็นช่อง แล้วขับรถลงไปยังบาดาล ในขณะเดียวกันนั้นเพอร์ซิโฟเน่แก้สายรัดองค์ขว้างลงในแม่น้ำไซเอนี พลางร้องบอกนางอัปสรประจำแม่น้ำให้เอาไปถวายเจ้าแม่ดีมิเตอร์ผู้เป็นมารดาด้วย
     ฝ่ายดีมิเตอร์แม่โพสพกลับมาจากทุ่งข้าวโพดไม่เห็นธิดา เที่ยวเพรียกหาก็ไม่เห็นวี่แววอันใด นอกเพียงจากดอกไม้ที่ตกเรี่ยราดกลาดเกลื่อนอยู่ เจ้าแม่เที่ยวหาไปตามที่ต่างๆ พลางกู่เรียกไปตลอดวันและคืน
     กระนั้นเจ้าแม่ก็ไม่ลดละความพยายาม คงดั้นด้นเรียกหาธิดาไปตามทาง มิได้ห่วงถึงภาระหน้าที่ประจำที่เคยปฏิบัติแต่อย่างใด ดอกไม้ทั้งปวงจึงเหี่ยวเฉาเพราะขาดฝนชะโลมเลี้ยง พืชพันธุ์ธัญญาหารถูกแดดแผดเผาจนเหี่ยวเฉา ในที่สุดเจ้าแม่ก็สิ้นหวัง ลงนั่งพักที่ริมทางแล้วร้องไห้อย่างคร่ำครวญ
     เวลาผ่านไปเมื่อได้รู้ถึงที่อยู่ของธิดาดังนี้แล้วเจ้าแม่ดีมิเตอร์จึงรีบไปอ้อนวอนเทพปริณายกให้ช่วย ซูสอนุโลมตามคำวอนขอ โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าเพอร์ซิโฟเน่ไม่ได้เสพเสวยสิ่งใดในระหว่างที่อยู่บาดาล จะให้ฮาเดสส่งเพอร์ซิโฟเน่ขึ้นมาอยู่กับมารดา แล้วมีเทวบัญชาให้เฮอร์มีสลงไปสื่อสารแก่ฮาเดสในยมโลก เจ้าแดนบาดาลจำต้องยอมโอนอ่อนจะส่งเพอร์ซิโฟเน่คืนสู่ดีมิเตอร์แต่ในขณะนั้นภูตครองความมืดแอสกัลละฟัส(Ascallaphus) ร้องประกาศขึ้นว่า ราชินีแห่งยมโลกได้เสวยเมล็ดทับทิมแล้ว 3 เมล็ด ในที่สุดจึงตกลงกันเป็นที่ยุติว่า ในปีหนึ่งๆ ให้เทพีเพอร์ซิโฟเน่อยู่กับฮาเดสในยมโลก 3 เดือน สำหรับเมล็ดทับทิมที่เสวยเมล็ดละเดือนแล้วให้กลับขึ้นมาอยู่กับมารดาบนพิภพอีก 3 เดือนสลัีบกันอยู่ทุกปีไป
     ด้วยเหตุนี้เมื่อเทพีเพอร์ซิโฟเน่อยู่กับมารดา โลกจึงอยู่ในระยะกาลของวสันตฤดู พืชพันธุ์ธัญญาหารนานาชนิดผลิดอกออกผล และเมื่อเทพีเพอร์ซิโฟเน่ลงไปอยู่ในบาดาล โลกก็ตกอยู่ในระยะกาลของเหมันตฤดู พืชผลทั้งปวงร่วงหล่นซบเซา อันเป็นความเชื่อของชาวกรีกและโรมันโบราณ

ฮีร่า (Hera)

    4. ฮีร่า(Hera) ราชินีแห่งสวรรค์ เป็นบุตรีแห่งโครนัสกับรีอา เธอได้ขอให้ซูสเข้าพิธีสมรสกับเธอ หลังจากที่ซูสปรารถนาจะมีเพศสัมพันธ์กับเธอ
     ฮีร่าเป็นเทพีแห่งการให้กำเนิดทารก การสมรส และสตรี เมืองที่เธอโปรดปรานคือเมืองอาร์กอส(Argos) ซึ่งได้มาจากการเอาชนะโพไซดอน และเมืองสติมฟาลัส(Stymphalus) ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของเธอ ผู้ติดตามของเธอชื่อ ยูบีย่า(Euboea) สัตว์ประจำพระองค์คือนกยูง ผลไม้คือแอปเปิลและทับทิม
     เทพีฮีร่าได้ชื่อว่าเป็นหญิงที่ขี้หึงที่สุดในบรรดาเทพีแห่งสวรรค์ เธอมักจะตามไปลงโทษผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับซูส ทั้งที่บางครั้งหญิงเหล่านั้นดูเหมือนถูกซูสข่มขืนเสียมากกว่า



เฮสเทีย (Hestia)

      5. เฮสเทีย(Hestia) เทพีแห่งการครองเรือน เทพีแห่งครอบครัวเป็น 1 ใน 6 ของบุตรและบุตรีแห่งโครนัสกับรีอา พระนางเป็นเทพีที่เป็นพรหมจารีตลอดชีวิต ทั้งๆ ที่ได้รับการสู่ขอจากอพอลโลและโพไซดอนหลายครั้ง
     ในฐานะของเทพีผู้รักษาบ้าน พระนางเป็นผู้ที่สร้างบ้านขึ้นเป็นคนแรก วิหารของพระนางอยู่ที่กรุงโรม ซึ่งจะได้รับการบวงสรวงจากสาวพรหมจารี พระนางมีสัญลักษณ์เป็นไฟอันเป็นนิรันดร




อาเรส (Ares)

     6. อาเรส (Ares) เทพแห่งสงคราม บุตรของโครนัสกับรีอาเป็นพี่ชายของอีรีส(Eris) พระองค์เป็นชู้รักของอะโฟรไดท์ ซึ่งเป็นน้องสาวของตนเอง
     สัตว์ประจำพระองค์ คือ เหยี่ยว และสุนัขมังกรไฟ ม้าของพระองค์มี 4 ตัว ชื่อ Aithon,Conabos,Phlogios และ Phobos พระองค์อยู่ฝ่ายทรอย เมื่อครั้งทำสงครามกับกรีก และถูก อโลอีเดอี(Aloeidae) ขังไว้ในโอ่งสำริดเป็นเวลาถึง 13 เดือน




อพอลโล (Apollo)

     7. อพอลโล(Apollo) หรือ อพอลลอน เทพเจ้าแห่งการทำนาย กีฬา การรักษา และดนตรี
         อพอลโลเป็นชื่อที่ชาวโรมันเรียก ขณะที่ชาวกรีกเรียก อพอลลอน เป็นบุตรชายคนโตของมหาเทพซูสกับลีโต(Leto)
     อพอลโลมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ คือ ลอเรล(Laurel) สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ คือ นกกาเหว่าและห่าน เครื่องดนตรีพระจำพระองค์ คือ พิณ และ เกาะประจำพระองค์ คือ เกาะดีลอส(Delos) พระองค์เป็นผู้ช่วยเหลือฝ่ายทรอยโดยเฉพาะเฮคเตอร์(Hector) ในสงครามกับกรีก นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นผู้สังหารไพธอน(Python) และไซครอปส์(Cyclops) อีกด้วย
     วิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ คือ เดลฟี(Delphi) ซึ่งที่นั่นจะมีนักบวชคอยบอกคำทำนายของพระองค์ให้แก่ประชาชนที่มาสักการบูชา
     อพอลโลมีพี่สาวฝาแฝดชื่อ อาร์ืีทีมิส หรือ ไดอาน่า(ในโรมัน) ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์คู่กัน อพอลโลเป็นบุรุษรูปงาม มักเล่นดนตรีด้วยพิณ เชี่ยวชาญการใช้ธนู
     นอกจากนี้แล้ว อพอลโล ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น ฟีบัส(Phoebus) อาเบล(Abel) ไพธูส(Pytheus) หรือเฮลิออส(Helios) ซึ่งแต่ละชื่อมีความหมายถึงแสงสว่างทั้งสิ้น
     ปัจจุบันอพอลโลเป็นชื่อที่ถูกอ้างอิงบ่อยๆ ในทางที่เกี่ยวกับแสงสว่างหรือความสำเร็จ เช่น เป็นชื่อปฏิบัติการทางอวกาศของนาซาที่เรียกว่า โครงการอพอลโล หรือเป็นชื่อยี่ห้อน้ำมันเครื่อง
     อพอลโลเป็นเทพที่ถูกปั้นด้วยทองแดงยืนคร่อมอ่าวทะเลอีเจียนที่เกาะโรดส์ที่มีชื่อว่า เทวรูปโคโลซัส นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์โลกยุคโบราณด้วย โดยทั่วไปรูปปั้นอพอลโลจะถือเครื่องดนตรีคล้ายพิณและมีลูกบอลทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์





อาร์ทีมิส (Artemis)

     8. อาร์ทีมิส(Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ เป็นบุตรีของซูสและลีโต เป็นพี่สาวฝาแฝดอพอลโล พระองค์เป็นเทพีที่เป็นพรหมจรรย์องค์หนึ่งใน 3 องค์ ภาพที่ผู้คนเห็นอยู่เสมอๆ คือ พระองค์จะถือธนูและศร มีสุนัขติดตาม บางครั้งอาจเห็นเธออยู่บนรถศึกเทียมด้วยกวางขาว
     เธอคือเทพีองค์เดียวกับไดอาน่า เทพีที่มีอิทธิพลต่อทุกสรรพสิ่งที่ปลูกอยู่บนดินและในดิน และการแพร่พันธุ์ของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งมนุษย์ด้วย
     เทพีอาร์ทีมิส ทันทีที่ลืมตาดูโลก เธอก็ร้องขออาภรณ์แห่งนักล่าสัตว์จากเสด็จพ่อของเธอและท่านก็ประทานคันธนูทองพร้อมกระบอกธนู ซึ่งเธอได้ใช้ประหัตประหารในการผจญภัยครั้งแรกๆ ร่วมกับแฝดอพอลโล ซึ่งหลังจากนั้นอาร์ทีมิสก็เลิกราชการออกผจญภัยโดยเด็ดขาด และพึงพอใจที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศทุรกันดารในป่าดิบคาเดีย แห่งอาร์คาเดีย และตั้งปณิธานที่จะกลายเป็นผู้อนุรักษ์ธรรมชาติที่นั้น
     นางกำนัลที่ล้อมกายของเธอที่ได้รับการเลือกสรรแล้วนั้น คือ นางไม้ 12 ตนซึ่งมีหน้าที่ดูแลฝูงหมาล่าเนื้อที่ดุร้ายของเธอ นอกเหนือจากปณิธานในการให้ความอุดมสมบูรณ์กับสิ่งต่างๆ แล้ว สิ่งที่อาร์ทีมิสรักมากก็คือธรรมชาติและการกีฬาทุกชนิด เธอไม่มีเวลาให้เพศตรงข้าม เพราะเธอหวงแหนพรหมจารีของตนอย่างยิ่ง ทั้งไม่ยอมให้ข้าราชบริพารรอบข้างประพฤติเรื่องกามวิสัียอีกด้วย
    เมื่อครั้งหนึ่งนางไม้ คัลลิสโต(Callisto) ซึ่งอยู่ในหมู่นางกำนัลของเธอยินยอมให้ซูสมามีสัมพันธ์สวาทด้วย อาร์ทีมิสถึงกับบันดาลโทสะตามล่าตามล้างนางไม้ตนนั้น ซูสเองก็พยายามป้องกันคัลลิสโตจากความโกรธเกรี้ยวของลูกสาว โดยเปลี่ยนนางให้เป็นหมี แต่ก็ไม่อาจห้ามโทสะของอาร์ทีมิสให้อ่อนลงได้ ในที่สุดนางหมีก็ถูกหมาล่าเนื้อรุมล้อมฉีกเนื้อและอาร์ทีมิสก็ประหารนางด้วยคมธนูของเธอเอง
     อาร์ทีมิสเป็นผู้สร้างให้กฏของความงามและความบริสุทธิ์ของป่าแต่จะบันดาลความโหดร้ายต่อคนที่กล้าขัดขืน
     ชายคนใดที่บังเอิญได้เห็นเธอวิ่งนำหน้านางไม้ 12 ตน ล้อมรอบด้วยหมาล่าเนื้อวิ่งเวียนเห่า ยามที่เธอยกคันธนูขึ้นเล็งกวางตัวงาม ควรจะรีบหลบตามองไปทางอื่นก่อนที่อาร์ทีมิสจะหันมาเห็นประกายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาอันมิอาจซ่อนเร้น ความสง่าและความงามของเธอ คือ สัญลักษณ์ของความลึกลับของผู้หญิง ซึ่งผู้ชายชอบตามล่าอยู่เสมอ
   

เฮอร์มีส (Hermes)

     9. เฮอร์มีส(Hermes) เทพแห่งการค้า เทพแห่งการโจรกรรมและผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ เป็นบุตรของซูสกับไมอา(Maia) สมรสกับลาร่า(Lara) พระองค์มักปรากฏกายในลักษณะสวมหมวกปีกกว้าง สวมรองเท้ามีปีก ถือคทาที่มีงูพัน เป็นผู้ประดิษฐ์พิณเป็นครั้งแรก โดยใช้เอ็นวัวขึงกับกระดองเต่า
     พระองค์เป็นเทพองค์แรกที่สามารถจุดไฟโดยใช้ไม้สีกัน เป็นผู้คุ้มครองการค้าขาย โชคลาภ การแข่งขัน และการขโมย ว่ากันว่าพระองค์สามารถขโมยฝูงวัวของอพอลโล เมื่อเกิดมาได้เพียง 1 วัน
     เฮอร์มีสมีชื่อในตำนานเทพเจ้าโรมันว่า เมอร์คิวรี่ เป็นเทพผู้คุ้มครองเหล่านักเดินทาง คนเลี้ยงแกะ โจรผู้เร่ร่อน กวี นักกีฬา นักประดิษฐ์ และพ่อค้า อาจเรียกได้ว่า เฮอร์มีสเป็นเทพแห่งการสื่อสารมีของวิเศษคือหมวกและรองเท้ามีปีก บุตรของเฮอร์มีส ได้แ่ก่ เทพแพน(Pan) เทพเฮอร์มาโฟรไดทัส(Hermaphroditus) และเทพออโตไลคัส(Autolycus)
     เมอร์คิวรี่ หรือ เฮอร์มีส เป็นเทพที่มีผู้รู้จักมาก เนื่องจากมีรูปปรากฏคุ้นตามากกว่าเทพองค์อื่นๆ คนมักนำรูปเทพองค์นี้ หรืออย่างน้อยก็ของวิเศษอย่างหนึ่ง คือ รองเท้ามีปีก มาแสดงเป็นเครื่องหมายถึงความเร็ว นอกจากรองเท้าแล้ว หมวกและไม้ถืออันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เวลาเดินทางจะไปอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่า ไปเร็วเพียงความคิด ทีเดียว
     สำหรับหมวกและรองเท้ามีปีกของเฮอร์มีสนั้นเรียกว่า เพเตซัส(Petasus) และทาลาเรีย(Talaria) เป็นของที่ได้รับประทานจากซูสเทพบิดาซึ่งโปรดให้เฮอร์มีสเป็นเทพพนักงานสื่อสารประจำพระองค์ ส่วนไม้ถือศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า คาดูเซียส(Caduceus) เดิมเป็นของเทพอพอลโลใช้ต้อนวัวควายในครอบครอง ครั้งหนึ่งเฮอร์มีสขโมยวัวของอพอลโลไปซ่อน อพอลโลรู้ระแคะระคายดังนั้นจึงมาทวงถามให้เทพภราดรคือวัวแก่เธอ
     เฮอร์มีสยังเยาว์อยู่ กลับย้อนถามว่าวัวอะไรที่ไหนกันไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยิน อพอลโลจึีงไปฟ้องร้องต่อเทพบิดาซูสให้ไกล่เกลี่ยให้เฮอร์มีสคืนวันให้ ต่อมาอพอลโลได้วัวคืนแล้วก็ไม่ถือโทษเทพผู้น้อง แม้ว่าวัวจะขาดจำนวนไป 2 ตัว เพราะเฮอร์มีสเอาไปทำเครื่องสังเวยเสียแล้วก็ตาม อพอลโลเห็นเฮอร์มีสมีพิณคันหนึ่งเรียกว่า ไลร์ เป็นของที่เฮอร์มีสประดิษฐ์ขึ้นเองด้วยเอ็นวัวขึงกับกระดองเต่าก็อยากได้จึงเอาไม้คาดูเซียสไปขอแลก ไม้ถือคาดูเซียสจึงเป็นของเฮอร์มีสด้วยเหตุนี้และถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของเฮอร์มีสแต่ครั้นนั้น
     ไม้คาดูเซียส นี้แต่เดิมเป็นไม้ถือมีปีกเพียงเท่านั้น ต่อมาเฮอร์มีสถือไปพบงู 2 ตัว กำลังต่อสู้กัน เฮอร์มีสเอาไม้ทิ่มเข้าไประหว่างกลางเพื่อห้ามการวิวาท งูก็เลื่อยขึ้นมาพันอยู่กับไม้โดยหันหัวเข้าหากัน ตั้งแต่นั้นมางูนี้ก็พันอยู่กับไม้ถือคาดูเซียสตลอดมา และไม้ถือคาดูเซียสก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกลางด้วย ภายหลังได้ใช้เป็นสัญลักษณ์ของวงการแพทย์มาจนบัดนี้
     เฮอร์มีสไม่แต่จะเป็นเทพสื่อสารของซูสเท่านั้น หากยังเป็นเทพครองการเดินทาง การพาณิชย์ และตลาด เป็นที่บูชาของพวกหัวขโมยและมีหน้าที่เป็นมัีคคุเทศก์คอยนำวิญญาณคนตายไปสู่ยมโลกด้วย จนได้รับนามอีกชื่อหนึ่งว่า ไซโคปอมปัส(Psychopompus) สรุปว่าการสื่อสารและการเป็นคนกลางในกิจการทุกอย่างตกเป็นภาระของเฮอร์มีสหรืออยู่ในความสอดส่องทั้งสิ้น ส่วนการที่เฮอร์มีสเป็นที่นับถือบูชาของพวกขโมยก็คงเนื่องจากการขโมยวัวของอพอลโลนั่นเอง
     สิ่งที่น่าแปลกประการหนึ่งในตัวเฮอร์มีสก็คือ แม้ว่าจะเป็นโอรสของซูสเทพบดีกับนางไมอา ซึ่งเป็นอนุ แต่ทว่าทรงเป็นโอรสองค์เดียวของซูสที่ราชินีขี้หึงเทพีฮีร่าไม่เกลียดชัง กับเรียกหาให้เฮอร์มีสอยู่ใกล้ๆ เสมอ



อาเธนา (Athena)

     10. อาเธนา(Athena) เทพีแห่งสงคราม ความเฉลียวฉลาด และศิลปศาสตร์ของกรีกเมื่อเธอเกิดโดยโผล่ออกมาจากศรีษะของซูส ในชุดเกราะพร้อมรบ พระองค์พำนักอยู่ ณ อะโคพลิสแห่งเอเธนส์ 
     อาเธน่า หรือ มิเนอร์(Minerva) ของโรมัน เป็นเทพีประจำกรุงเอเธนส์ สวมเกราะและมีโล่ Aegis ที่ทำด้วยหนังแพะและมีหัวเมดูซ่าอยู่ตรงกลาง รักษาพรหมจรรย์ไม่แต่งงานกับใคร มีอารมณ์รุนแรงแต่ฉลาด มีสัญลักษณ์ คือ ต้นมะกอก น้ำ และนกฮูก เป็นธิดาของซูสกับมีธิส
     ขณะที่นางมีธิสกำลังตั้งครรภ์ ครั้งหนึ่งซูสได้รับคำทำนายจากจีอาว่า โอรสธิดาที่ประสูติแต่มเหสีเจ้าปัญญานาม มีธิส นั้นจะมาโค่นบัลลังก์ของพระองค์ ซูสจึงแก้ปัญหาด้วยการจับเอามีธิสซึ่งทรงตั้งครรภ์แก่นั้นกลืนไปในท้อง แต่เวลาไม่นานนักเทพซูสเกิดอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรงขึ้นมา จึงมีเทวโองการสั่งให้เรียกประชุมเทพทั้งปวงบนเขาโอลิมปัส ให้ช่วยกันหาทางบำบัดเยียวยา แต่ก็ไม่มีใครสามารถหาทางแก้ได้ ซูสไม่อาจทนความเจ็บปวดต่อไปได้ ในที่สุดจึงมีเทวบัญชาสั่งโอรสองค์หนึ่ง คือ เฮฟเฟสตุส(Hephaestus) หรือ วัลแคน(Vulcan) ให้ใช้ขวานผ่าศรีษะออก เทพเฮฟเฟสตุสปฏิบัติตาม เอาขวานจามลงไปยังไม่ทันเศียรซูสจะแยกดี เทพีอาเธนาก็ผุดขึ้นมาจากเศียรเทพบิดา ในลักษณะเจริญวัยเต็มที่ แต่งฉลององค์หุ้มเกราะแวววาวพร้อมสรรพถือหอกเป็นอาวุธ และประกาศชัยชนะเป็นลำนำกัมปนาท เป็นที่พิศวงหวั่นหวาดแก่ทวยเทพเป็นที่สุด พร้อมกันนั้นทั่วพื้นพสุธาและมหาสมุทรก็บังเกิดอาการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
     ภายหลังการอุบัติของอาเธนาไม่นาน มีหัวหน้าชนชาวฟีนิเซียคนหนึ่งชื่อว่า ซีครอบ(Cecrop) พาบริวารอพยพเข้าไปในประเทศกรีกเลือกได้ชัยภูมิอันตระการตาแห่งหนึ่งในแคว้นอัตติกา(Attica) ตั้งภูมิลำเนาก่อสร้างบ้านเรือนขึ้นมาเป็นนครอันสวยงามนครหนึ่ง เทพทั้งปวงเฝ้าดูงานสร้างเมืองนี้ด้วยความเลื่อมใสยิ่ง ในที่สุดเมื่อเห็นว่าเมืองมีเค้าจะกลายเป็นนครอันน่าอยู่ขึ้นมาแล้ว เทพแต่ละองค์ก็แสดงความปรารถนาใคร่จะได้เอกสิทธิ์ประสาทชื่อนคร จึงประชุมกันถึงเรื่องนี้ เมื่อมีการอภิปรายโต้แย้งกันพอสมควรแล้ว เทพส่วนใหญ่ในที่ประชุมก็พากันยอมสละสิทธิ์ คงเหลือแต่เทพโพไซดอนและเทพีอาเธนา 2 พระองค์เท่านั้นที่ยังแก่งแย่งอยู่
     เพื่อยุติปัญหาว่าใครควรจะได้เอกสิทธิ์ประสาทชื่อนคร เทพซูสไม่พึงประสงค์จะชี้ขาดโดยอำนาจตุลาการที่พระองค์จะพึงใช้ได้ ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่ครหาว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พระองค์จึงมีเทวโองการว่านครนั้นพึงอยู่ในความคุ้มครองของเทพหรือเทพีซึ่งสามารถเนรมิตของที่มีประโยชน์ที่สุดให้มนุษย์ใช้ได้ และมอบหน้าที่ตัดสินชี้ขาดให้แก่ที่ประชุม
     เทพโพไซดอนเป็นฝ่ายเนรมิตก่อน ยกตรีศูลคู่หัตถ์ขึ้นกระแทกลงกับพื้น บันดาลให้มีม้าลำยองตัวหนึ่งผุดขึ้นท่ามกลางเสียงแสดงความพิศวงและชื่นชมของเหล่าเทพ
     เมื่อเทพผู้เนรมิตม้า อธิบายคุณประโยชน์ของม้าให้เป็นที่ตระหนักแก่เทพทั้งปวงแล้ว เทพต่างองค์ต่างก็คิดเห็นว่า เทพีอาเธนาคงไม่สามารถเอาชนะโพไซดอนเสียเป็นแน่แล้ว ถึงกับพากันแย้มสรวลด้วยเสียงอันดังแกมเย้ยหยันเอาเสียด้วย เมื่อเจ้าแม่อาเธนาเนรมิตต้นมะกอกต้นหนึ่งขึ้นมาแต่ครั้นเจ้าแม่อธิบายถึงคุณประโยชน์ของต้นมะกอก ที่มนุษย์เอาไปใช้ได้นานัปการ นับตั้งแต่ใช้เนื้อไม้ ผล กิ่งก้าน ไปจนถึงใบ กับซ้ำว่ามะกอกยังเป็นเครื่องหมายถึงสันติภาพและความรุ่งเรืองวัฒนาอีกด้วย และเพราะฉะนั้นจึงเป็นที่พึงประสงค์ยิ่งกว่าม้าซึ่งเป็นเครื่องหมายของสงคราม ดังนี้ มวลเทพก็เห็นพ้องต้องกันว่า ของที่เจ้าแม่อาเธนาเนรมิตมีประโยชน์กว่า จึงลงมติตัดสินให้อาเธนาเป็นฝ่ายชนะ
     เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงชัยชนะครั้งนี้ เทพีอาเธนาได้ประสาทชื่อนครนั้นตามนามของตัวเองว่า เอเธนส์(Athens) และสืบจากนั้นมาชาวกรุงเอเธนส์ก็นับถือบูชาในฐานะเทพีผู้ปกครองนครของเขาอย่างแน่นแฟ้น
     ตามที่เกิดขึ้นมานั้น เห็นได้ว่าเรื่องนี้ใช่จะแสดงตำนานที่มาของชื่อกรุงเอเธนส์เท่านั้นไม่ หากยังเป็นตำนานกำเนิดของม้าในเทพปกรณัมกรีก และเป็นต้นเรื่องของการที่ชาวตะวันตกถือว่า ช่อมะกอกเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพสืบๆ กันมาจนตราบทุกวันนี้




อะโพรไดท์ (Aphrodite)

     11. อะโฟรไดท์(Aphrodite) เทพีแห่งความรักและความงามเป็นบุตรีของซูสกับไดโอเน่(Dione) บางตำราว่าเกิดจากฟองคลื่น เนื่องจากพระนางเป็นเทพีที่มีความงดงามมาก สามารถสะกดสายตาชายได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าเทพด้วยกัน พระนางจึงเป็นเทพีที่มีเพศสัมพันธ์มากที่สุดองค์หนึ่ง
     สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของพระนาง ได้แก่ นกกระจอก นกนางแอ่น ห่าน และเต่า ส่วนดอกไม้และผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระนาง ได้แก่ กุหลาบไมร์เทิล(Myrtle) และแอปเปิล กล่าวกันว่าเป็นเทพีผู้คุ้มครองเหล่าโสเภณีด้วย
     อะโฟรไดท์ หรือที่ชาวโรมันเรียก วีนัส(Venus) เป็นเทพเจ้ากรีกแห่งความรัก ความปรารถนา และความงาม ชื่ออื่นๆ ที่เรียกคือ ไคพริส(Kypris) ไซธีเรีย(Cytherea) ตามชื่อสถานที่ ไซปรัสและไซธีรา ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เกิดของอะโฟรไดท์



เฮฟเฟสตุส (Hephaestus)

     12. เฮฟเฟสตุส(Hephaestus) เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง เป็นบุตรของซูสกับฮีร่า(บางตำราว่าเป็นบุตรของฮีร่าผู้เดียว) พระองค์เป็นเทพที่พิการและอัปลักษณ์ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ถูกซูสโยนลงจากสวรรค์เมื่อครั้งเข้าไปช่วยฮีร่าจากการทะเลาะกับซูส
     เฮฟเฟสตุส หรือในชื่อลาตินว่า วัลคานัส(Valcanus) เป็นที่มาของคำว่า ภูเขาไฟ(Valcano) เทพแห่งไฟและการตีเหล็ก เป็นช่างตีเหล็กผู้ทำอาวุธให้เทพเจ้าและสร้างวิหารต่างๆ ให้เทพเจ้าบนเขาโอลิมปัส อาศัยอยู่ใต้ภูเขาไฟเอทนา เป็นผู้สร้างนางแพนโดรา มีอะโฟรไดท์เป็นชายา และมีบุตรคือ คิวปิด(Cupid)
     เนื่องด้วยเหตุดังกล่าว พระองค์จึงถูกพระบิดาและมารดาทอดทิ้งเฮฟเฟสตุสใช้เวลาช่วง 10 ปีแรกอยู่ในทะเล และได้สร้างโรงหล่อไว้ใต้ภูเขาเอทนา มีไซคลอปส์เป็นคนงาน โดยสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้นมี ดังนี้ อาวุธของอาร์คีลิส(Achilles) และเอนีอัส(Aeneas) คทาของอกามีนอน(Agamemnon) สร้อยคอของฮาร์โมเนีย(Harmonia) ซึ่งผู้สวมใส่จะเคราะห์ร้าย โล่ของเฮราคลิส(Heracles)



นี่เป็นเพียง 1 ในส่วนของตำนาน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดอ้างอิงมาจาก หนังสือที่ชื่อว่า "สัตว์ประหลาดในเทพนิืยายกรีก-โรมัน" ซี่งเรียบเรียงโดย DR.KNOW ซึ่งหากอยากรู้ความเป็นมาเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากร้านหนังสือทั่วไป

1 ความคิดเห็น: