วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สัตว์ในเทพนิยายกรีก-โรมัน

     อาจว่าได้ว่่าสัตว์ในเทพนิยายนั้นด้านหนึ่งเป็นเรื่องจริง และอีกด้านหนึ่งเป็นเรื่องแต่งจินตนาการตามความคิด ความเห็นและตามสภาพแวดล้อมของแต่ละยุคสมัยที่ผู้คนพบพาน แล้วบอกเล่าสืบต่อกันมา โดยเฉพาะการบอกเล่าด้วยปาำกเปล่านั้นก็ยิ่งเป็นการเพิ่มเติมจินตนาการของผู้เล่ากัน จนกลายเป็นเกินจริงหรือเหนือจริงมากยึ่งขึ้นตามแต่การสืบทอด...

     กระนั้นสุดท้ายแล้วเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นบทพิสูจน์ถึงคุณค่าและความหมายในเชิงนามธรรมของเรื่องเล่าด้วยกันแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าในเทพปกรณัมของชาติใดในโลก แน่นอนที่สุดว่ามักจะปรากฏเรื่องราวของบรรดาสัตว์ประหลาดที่มาในรูปของคน หรือสัตว์แทบทั้งสิ้น
     ส่วนหนึ่งมองกันว่า สาเหตุที่ทำให้คนเราจิตนาการเรื่องราวขึ้นมานั้น ก็เพราะพื้นฐานของการไม่รู้โดยเฉพาะในอดีตที่รับรู้และเข้าในทางชีววิทยายังมีน้อยและทั้งการเรียนรู้ด้านภูมิศาสตร์ยังไม่กว้างขวาง ทำให้จินตนาการความแปลกและแตกต่างนั้นออกไปไกลเสียจนบางครั้งยากที่จะเข้าใจได้
     กระนั้นสิ่งที่พิสูจน์และยอมรับกันแล้วก็คือ แท้จริงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับบรรดาเทพและต้องมีสัตว์ประหลาดนั้น มักจะสามารถตีความได้ตามโครงเรื่องที่จะต้องมีการแบ่งแยกคู่ตรงข้ามเอาไว้อย่างชัดเจน
     เป็นคู่ตรงข้ามที่เป็นความดีกับความชั่ว เทพกับมาร ขาวกับดำหรือคนกับสัตว์
     

    ในที่นี้เรามาดูเรื่องราวของสัีตว์ในตำนานกรีก-โรมันซึ่งมีอยู่มากมายเกินกว่าจะสามารถรวบรวมมานำเสนอได้ กระนั้นเท่าที่นำมานี้ก็นับว่าครอบคลุมเรื่องราวและบทบาทของสัตว์ในตำนานเหล่านั้นแทบทั้งสิ้นแล้ว

ไซคลอปส์ (Cyclops) 

     ชื่อไซคลอปส์ถูกใช้ระบุถึงยักษ์ตาเดียวคือมีตาเดียวอยู่กลางใบหน้า มีอยู่ 2 ชนิดโดยชนิดแรกเป็นลูกของเจ้านภา "อูรานอส" หรือยูเรนัสและพระแม่ธรณี "จีอา" มีด้วยกัน 3 ตน ชื่อว่า บรอนทีส สเทอโรพีส และอาจีส มักจะถือค้อนอันใหญ่ มีพลังแห่งสายฟ้า และมีฝีมือในด้านช่างเหล็กด้วยรูปลักษณ์อันน่าเกลียดก็เลยถูกบิดาโยนเข้าไปในทาร์ทะรัส จนกระทั่ง เทพซูส มาปลดปล่อยออกมาหลังจากที่โค่น โครนัส ผู้เป็นบิดา และซูสต้องทำสงครามกับเหล่าไทแทน จึงได้ไปปลดปล่อยบรรดาไซคลอปส์ทั้ง 3 ออกมาซึ่งไซคลอปส์ได้ตอบแทนโดยตีอาวุธต่างๆ ให้เหล่าเทพ 3 พี่น้อง คือ สายฟ้าให้ซูส ตรีศูลให้โพไซดอน หมวกล่องหนให้ฮาเดส
     นอกจากนั้น ยังทำเกราะป้องกันในการสงครามให้กับเทพอื่นๆ ซึ่งต่อมาเหล่าไซคลอปส์ได้เป็นลูกมือของเทพแห่งช่างเหล็ก เฮฟเฟสตุส จนกระทั่งถูก อพอลโล สังหารเพื่อล้างแค้นให้แอสคิวลาปิอัสที่ถูกซูสใช้สายฟ้าฟาด
     ไซคลอปส์กลุ่มที่สอง เป็นลูกหลานของโพไซดอนกับพรายน้ำโทซา ไซคลอปส์กลุ่มนี้กินมนุษย์เป็นอาหาร โดยมีบทบาทในเรื่อง โอดิสซี นอกจากไซคลอปส์ 3 ตนนี้ก็มีตัวอื่นอีกหลายตัว ที่เด่นๆ คือ โพลีฟีมัส ตัวโอดิสซิอุสแล่นเรือหลงไปพบระหว่างทางกลับบ้านจากสงครามกรุงทรอย แล้วโอดิสซิอุสก็ทำให้โพลีฟีมัสตาบอด
     ในวัฒนธรรมร่วมสมัย ไซคลอปส์ได้ัรับความนิยมมากเหมือนกัน เช่น ในการ์ตูน หรือ ในเกมส์ ฯลฯ
     

ไทฟอน (Typhon) 

     อสูรกายไทฟอน (Typhon) เป็นลูกของจีอา พระแม่ธรณี ซึ่งพระนางให้กำเนิดภายหลังที่โครนัสถูกโค่นบัลลังก์แล้ว เพื่อให้ไปสู้รบกับซูสเทพเจ้าแห่งสายฟ้าผู้ยิ่งใหญ่
     ไทฟอนเป็นอสูรกายที่น่าเกลียดน่ากลัว มันมีหัวถึงร้อยหัวและหัวของมันสูงจนสามารถสัมผัสกับดวงดาวในท้องฟ้า น้ำตาของมันที่ไหลออกมามีพิษ และยังสามารถพ่นลาวาหรือหินหลอมเหลวอันร้อนแรงออกมาจากปากของมันได้อีกด้วย ลมหายใจของมันคล้ายเสียงขู่ฟ่อๆ ของงูร้อยตัวรวมกัน และเสียงคำรามดังคล้ายกับเสียงสิงโตสักร้อยตัว
     แต่บางตำนานบอกว่า ไทฟอนนั้นมีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ส่วนท่อนล่างนั้นเป็นงูยักษ์ที่มีขนาดยาวนับร้อยไมล์ มีหัวเป็นลาขนาดใหญ่และมีปีกเหมือนอินทรี นอกจากนั้นนิ้วมือยังเป็นงูอีกต่างหากเวลามันเคลื่อนตัวไปไหนจะเกิดลมพายุหมุนขนาดมหึมา เพราะอำนาจอิทธิฤทธิ์ของอสูรตัวนี้ ต่อมาคำว่าไทฟอนกลายเป็น ไทฟูน(Typhoon) หรือไต้ฝุ่่นหมายถึงพายุหมุนที่เรารู้จักกันดี
     ไทฟอนเคยต่อสู้กับซูสอย่างฮึกเหิม มันยกภูเขาทั้งลูกโยนใส่เทพเจ้าทั้งหลายที่มาร่วมกันกำจัดมัน ตอนแรกฝ่ายซูสต้องแตกกระเจิง ถอยหนีไปตั้งหลัก และรวมตัวกันกลับมาราวีใหม่ การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือดจนพสุธาถล่มทลายแทบไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ในโลกยุคนั้น
     ไทฟอนมีโล่อยู่ 1 อัน ซึ่งแม้แต่ซูสก็ยังทำลายไม่ได้
     ขณะที่อสูรไทฟอนกำลังยกภูเขาเอทนา(Aetna) อันมหึมาหมายทุ่มใส่เหล่าเทพเจ้าทั้งหลาย ซูสก็จับสายฟ้าทั้งร้อยสายฟาดเปรี้ยงลงไปที่ภูเขาลูกนั้น ผลปรากฏว่าภูเขาขนาดมหึมาถึงกัีบถล่มลงมาฝังร่างของไทฟอนไว้
     อสูรไทฟอนถึงจะไม่ตายแต่ก็โดนทับอยู่เช่นนั้นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และยังคงพ่นลาวาหรือหินหลอมเหลวออกมาจากยอดภูเขาไฟที่ทับมันไว้

อีคิดนา (Echidna)

     อีคิดนา (Echidna) ในตำนานของกรีกนั้นเป็นสตรีที่งดงาม แต่ท่อนล่างเป็นงูขนาดยักษ์ เป็นภรรยาของไทฟอน อีคิดนาถูกยักษ์ร้อยตาอาร์กัส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของฮีร่าสังหาร
     นางเป็นอสูรกายที่ไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในจำนวนอสูรกายที่ออกอาละวาดในยุคตำนานเทพกรีก แต่สาเหตุที่ทำให้ชื่อเสียงของอสูรกายตนนี้เป็นที่ปรากฏได้หรือได้รับการกล่าวถึง ก็เพราะนางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดอสูรกายที่โด่งดังถึง 6 ตัว ได้แก่ มังกรสองร้อยตาลาดอน(Ladon) สฟิงซ์(Sphinx)อสูรคนครึ่งนก ไฮดรา(Hidra)อสูรกาย 9 หัว อสูรกายราชสีห์นีเมียน(Nemean) ไคเมร่า(Chimera)อสูรซี่งมีหัวเป็นสิงโต แพะ และงู เซอร์เบอรัส(Cerberus)สุนัข 3 หัว

เพกาซัส (Pegasus)

     เพกาซัส หรือ เปกาซอส หมายถึง แข็งแรง เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก มีลักษณะเป็นม้าร่างกำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกอันกว้างสง่างามเหมือนนกพิราบ
     ประวัติของเพกาซัสตัวนี้ค่อนข้างจะน่าขนลุกอยู่สักหน่อย เรื่องเริ่มมาจากนางการ์กอนเมดูซ่า ถูกวีรบุรุษเพอร์ซีอุสฟันคอขาดตาย ในขณะที่นางสิ้นใจตายนั้นมีร่างของม้ากำยำพ่วงพี พร้อมด้วยปีกอันกว้างสง่างามกระโจนออกมาจากลำคอของนาง ม้าตัวนั้นคือเพกาซัสนั่นเอง
     เมื่อออกมาแ้ล้วมันก็แผลงฤทธิ์ จนไม่มีใครสามารถปราบได้ ทั้งที่เพกาซัสเป็นความหวังของใครหลายๆคน นอกจากความเก่งกล้าในการวิ่งและบินแล้ว เพกาซัสยังมีความสามารถอีกอย่างคือตอนที่มันเกิดมาใหม่ๆและออกวิ่งอย่างคึกคะนองนั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้าที่มันวิ่งก่อให้เกิดน้ำพุสวยงามที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนักหนา คือ น้ำพุฮิปโปครีนี (Hippocrene) ที่รู้จักในวรรณคดีกรีกโบราณ

กริฟฟอน (Griffon)

     กริฟฟอน หรือ กริฟฟิน (Griffin,Gryphin,Griffon,Gryphon) คือสัตว์ในเทพนิยายเป็นครึ่งนกอินทรี ครึ่งสิงโต โดยส่วนหัว ขาคู่หน้าและปีกเป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต และมีหางเป็นงู บางจำพวกมีหางเป็นสิงโต ขนบนหลังเป็นสีดำ ขนที่อยู่ข้างหน้าเป็นสีแดง ส่วนขนปีกเป็นสีขาว อาศัยอยู่ในถ้ำตามภูเขา
     ในตำนานกรีก กริฟฟอนเป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์เหมืองทองคำของดินแดนไฮเปอร์โบเรียน ซึ่งอยู่ทางขั้วโลกเหนือมีแสงอาทิตย์และความอุดมสมบูรณ์ตลอดกาล เป็นรูปจำแลงของเทพีเนเมซิส เทพีแห่งความพยาบาท ซึ่งทำหน้าที่หมุนวงล้อแห่งโชคชะตา นอกจากนี้ยังเป็นผู้ลากรถม้าของพระอาทิตย์ (เทพอพอลโล) อีกด้วย
     ปัจจุบัีนสามารถพบเห็นกริฟฟอนได้ทั่วไปจากงานศิลปะในหลายๆ วัฒนธรรม และพบได้ในตราประจำตระกูล รูปสัตว์ต่างๆ ประติมากรรมเก่าแก่ นิทานและในตำนานต่างๆ ทั่วโลก

เซนทอร์ (Centaurs)

     เซนทอร์ นับเป็นหนึ่งในสัตว์ในตำนานที่น่าสนใจด้วยรูปลักษณ์พิเศษคือ มีท่อนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย ขณะที่ท่อนล่างกลายเป็นม้า ที่สำคัญมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แสดงถึงความแข็งแรงแห่งอาชาไนย แหล่งอาศัยของเซนทอร์นั้นว่ากันว่า อาศัยอยู่แถบภูเขาของอาคาเดีย แคว้นเทสสาลี ในกรีซ
     ภายหลังพวกเขาถูกขับไล่ออกจากแคว้นเทสสาลี เนื่องจากไปก่อเรื่องเลวทรามในงานอภิเษกสมรสของพระราชาพิรีธุส โดยไปลวนลามข่มขืนแขกสาวๆ ในงานและพยายามลักพาตัวเจ้าสาว จนเกิดการทะเลาะวิวาทนองเลือดไปทั่ว
     แท้จริงเซนทอร์ที่ปรากฏในตำนานแบ่งออกเป็น 2 ตระกูล หนึ่งคือ ตระกูลที่ถือกำเนิดจากอิซิออน อันธพาลแห่งสวรรค์กับนางเนฟิลี พวกนี้จะมีพละกำลัีงมากชอบดื่มไวน์กับไล่คว้าผู้หญิงที่สำคัญมักทะเลาะกันเวลาเมา ทำให้เซนทอร์พวกนี้ถูกมองว่าเป็นพวกขี้เมาและไม่กลัวใครทั้งสิ้น และยังทำให้ชื่อเสียงของเซนทอร์เสียไปด้วย
     อีกตระกูลหนึ่งเป็นลูกของโครนัสซึ่งแต่งงานกับนางอัปสรน้ำ มีลูกที่ถือว่าเป็นเซนทอร์ที่ได้รับการยกย่องอย่างมากคือ ไครอน(Chiron)
     ไครอน ได้รับการดูแลและอบรมสั่งสอนโดยเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อพอลโล และเทพธิดาแห่งดวงจันทร์อาร์ทีมิสหรือไดอาน่า ไครอน ใจดี สุภาพ และเฉลียวฉลาด ในขณะที่เซนทอร์อื่นนั้นโหดร้ายป่าเถื่อนไม่รู้จักคิด ซึ่งด้วยทักษะความสามารถและความเฉลียวฉลาดของไครอนรู้จักกันไปทั่วนั้น ก็ทำให้ราชาจากทั่วทุกสารทิศนั้นต่างส่งบุตรมาร่ำเรียนกับไครอน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เฮราคลิสหรือเฮอร์คิวลิส


เมดูซ่า (Medusa)

     ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่าเป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผู้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่าเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก
     เมดูซ่า เป็นหนึ่งในลูกสาวทั้งสามของมีธิส ซึ่งมีธิสเป็นเจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆ ได้มากมาย แต่เดิมลูกทั้ง 3 ของมีธิสเป็นคนที่สวยงามมาก แต่แล้ววันหนึ่งมีธิสถูกเทพซูสข่มขืนและกลืนลงท้องไป และซูสจึงได้ใช้สติปัญญาและความสามารถทางการแปลงร่างของมีธิสเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง
     พลังอำนาจนั้นทำให้เทพซูสยิ่งใหญ่เหนือเทพทั้งปวง และต่อมาเทพธิดาอาเธนา ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พลังของมีธิสทะลักออกมาทางหน้าผากของซูส
     ตั้งแต่เกิดมา อาเธนาก็ถือว่าเมดูซ่าเป็นศัตรูคู่แค้นที่จักต้องพิฆาตให้ดับสิ้น เพราะในบรรดาพี่น้องมีแต่เมดูซ่าผู้เดียวที่เป็นมนุษย์ พี่สาวชาวกอร์กอนทั้งสองร่วมท้องแม่ของเธอมีสถานะเป็นเทพจึงฆ่าไม่ตาย ในบรรดาลูกแม่เดียวกันทั้งหมด อาเธนาจึงหันมาหาทางทำลายเมดูซ่าแต่ผู้เดียว
     วันหนึ่งในวิหารเอเธนา ที่ชาวกรีกสร้างไว้บูชาสักการะแต่ละเทพเป็นแห่งๆ เทพอาเธนาเป็นเทพอุปถัมภ์ของสาวพรหมจารีที่สตรีพรหมจารีชาวมนุษย์มักไปบูชา สาวงามเมดูซ่าที่มีชายมากหลายหมายปองก็ไปบูชาเทพอาเธนา แล้วเทพโพโซดอนก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า อาเธนาเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่าลบหลู่อาเธนาในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาปเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาปให้ผมสวยงามของเธอเป็นงูเต็มหัว
     เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแ้ค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาปคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนหนึ่งในตำนานกรีก


ไซเรน (Sirens)

     เป็นสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งทะเลที่เป็นชายฝั่งแบบฟยอร์ด ไซเรนมีรูปร่างลักษณะเป็นเงือก บางตำราว่าตัวเป็นนกแต่หัวเป็นคน ไซเรนจะชอบร้องเพลง เสียงของไซเรนไพเราะเพราะพริ้งจนทำให้คนที่เดินเรือผ่านมายังบริเวณใกล้เคียงที่เซเรนอาศัยอยู่หลงทางเข้ามาตามเสียงเพลงของไซเรน และเรือที่เข้ามาจะหลงใหลในเสียงเพลงยิ่งขึ้น ทำให้ออกตามหาแล้วตกเป็นเหยื่อของไซเรน
     ชื่อของเหล่าไซเรนนั้น เป็นที่มาของคำศัพท์หลายคำ เช่น ไซเรนหรือหวอของรถพยาบาล รถตำรวจ รถดับเพลิง และยังหมายถึงหญิงที่มีเสน่ห์ตรึงใจชายเป็นพิเศษ หรือนักร้องหญิงที่มีเสียงไพเราะมาก หรือเป็นคุณศัพท์หมายถึง มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ทำให้หลงใหล เป็นคำกริยา แปลว่าล่อให้หลง ยั่วยวน และยังเป็นชื่อปลาชนิดหนึ่งด้วย



มนุษย์หมาป่า (Werewolf)

     ในส่วนของตำนานกรีกนั้น ก็ปรากฏเรื่องของมนุษย์หมาป่าอยู่เช่นกัน เรื่องของเรื่องเริ่มต้นจากเรื่องราวที่เมืองอาร์คาเดีย(Acadia) ไลคาอัน ผู้เป็นบุตรของพีลัสคัส และ มีลีโบอี ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของอาร์คาเดียมีบุตรรวมห้าสิบคนและลูกสาวหนึ่งคน
     ไลคาอัน มีลักษณะนิสัยผิดจากคนอื่นๆ กล่าวคือพระองค์พิศมัยเนื้อหนังมังสามนุษย์เป้นอาหาร ความโหดร้ายป่าเถื่อนเลื่องลือไปเข้าหูเทพซูส เพื่อให้ได้รับรู้ข้อเท็จจริงจึงแปลงกายเป็นนักเดินทางร่อนเร่ไปขอพักอาศัยในที่พำนักของกษัตริย์
     เมื่อไปถึงที่หมาย เหล่าข้าราชบริพารของไลคาอันต่างก็รู้ตัวตนของมหาเทพและให้ความเคารพ กระนั้นไลคาอันก็แกล้งไม่รู้ไม่เห็นแถมวางแผนแอบวางยาสังหารเทพด้วยการให้เสวยเนื้อมนุษย์ในค่ำคืนนั้นเอง
     แต่ซูสก็รู้ได้ ด้วยความพิโรธจึงจัดการกับไลคาอันและลูกๆ ทุกคนด้วยการสาปให้กลายเป็นหมาป่า ตำนานมนุษย์หมาป่าที่เก่าแก่ที่สุดก็ได้เริ่มต้นตรงนี้นี่เอง
     หลังจากที่ไลคาอันใช้ชีวิตเป็นหัวหน้าหมาป่าของฝูงหมาป่าลูกๆนั้น ในตอนท้ายซูสยังโกรธไม่เลิกรา ร่ายมนต์ให้ฝนตกเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่(Deluge) พัดพามนุษย์ตายไปมากมาย นับได้ว่าไลคาอันจัดเป็นหนึ่งในมนุษย์หมาป่าที่สร้างผลพวงหายนะแก่มนุษยชาติได้ยิ่งใหญ่ตัวหนึ่งของโลก


นิมฟ์ (Nymph)

     ตามตำนานกรีก นิมฟ์คือสตรีที่เป็นร่างตัวแทนของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นร่างที่ยึดติดกับสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งหรือเป็นผู้ติดตามของเหล่าทวยเทพ ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะตกเป็นเป้าหมายของเหล่าเซนทอร์ตัณหาจัด
     รูปลักษณ์ของนิมฟ์นั้น มักปรากฏในภาพของหญิงสาวเปลือยกายบริสุทธิ์และไร้เดียงสา แต่เมื่อตกใจก็จะแปลงร่างกลับไปเป็นต้นแบบธรรมชาติของตัวเองทันที อย่างเช่นเป็นต้นไม้ เป็นต้น บ้างเรียกพวกเธอว่านางพรายและมักตายไปพร้อมกับต้นไม้ที่เธอสิงสถิตอยู่
     วอลเตอร์ เบอร์เคิร์ต (Walter Burkert) กล่าวว่า "ความคิดที่ว่าแม่น้ำคือเทพเจ้า และน้ำพุคือนิมฟ์นั้น ไม่ได้เป็นแค่ความนึกคิดของกวีหากแต่ยังเป็นถึงความเชื่อและพิธีกรรมอีกด้วย การบูชาเทพเจ้าเหล่านี้ถูกจำกัดอยู่เพียงสถานที่หนึ่งที่ใดที่พวกเขาไม่สามารถแยกออกจากสถานที่แห่งนั้นได้" นิมฟ์นับเป็นบุคคลาธิษฐานของการสรรสร้างของธรรมชาติซึ่งบ่อยครั้งมักใช้เป็นสัญลักษณ์ของน้ำพุ


อาควิล่า (Aquila)

     ในตำนานนั้น อาควิล่า คือนกอินทรีผู้นำสายฟ้าไปฆ่ายักษ์ไทแทนพร้อมกันเขาก็คือผู้นำพาเด็กหนุ่มผู้อยู่ข้างกายเทพซูสทำหน้าที่รินน้ำทิพย์ให้กับบรรดาเทพโอลิมปัส
     ในตอนที่เกิดสงครามสิบปีระหว่างเทพซูสกับยักษ์ไทแทนนั้นอาควิล่า อินทรีแห่งแสงสว่างได้เป็นพวกของซูส โดยมีหน้าที่ในการนำสายฟ้าลงไปฆ่าพวกของยักษ์ไทแทน ซึ่งด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี จึงทำให้ถูกนำไปไว้เป็นกลุ่มดาวนกอินทรีบนท้องฟ้าในที่สุด
     อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อครั้งที่เหล่าเทพต้องการตัวเด็กรับใช้ที่ทำหน้าที่คอยรินน้ำทิพย์ให้แก่เหล่าเทพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งผู้ที่เหมาะสมต่อหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ต้องเป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่สุดบนโลกมนุษย์นี้ ดังนั้นเทพซูสจึกเสกอาควิลานกอินทรีผู้ซื่อสัตย์ขึ้นมา และมอบหน้าที่ดังกล่าวนี้ให้แก่อาควิล่าไป
     อาควิล่าได้บินไปทั่วทั้งโลก และในวันหนึ่งก็ได้พบกับเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งผู้ที่กำลังทำหน้าที่อยู่บนเขาสูง เด็กหนุ่มคนนี้มีคุณสมบัติดังที่เหล่าเทพต้องการ ดังนั้นอาควิล่าจึงโฉบลงไป และก็นำเอาตัวเด็กหนุ่มผู้มีนามว่า กานีเมดี้ (Ganymede) นี้มา ซึ่งทั้งที่ๆ อาควิล่าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอันยาวไกล แต่ก็ยังเร่งความเร็วบินขึ้นไปบนฟ้า และนำตัวกานีเมดี้ ไปให้กับเทพซูสจนได้ ซูสพอใจกับผู้ที่อาควิล่าเลือกมาเป็นผู้รินน้ำทิพย์ให้แก่เหล่าเทพเจ้ามาก ดังนั้นเมื่ออาควิล่าเสียชีวิต ซูสก็ได้นำขึ้นไปเป็นกลุ่มดาวนกอินทรีบนท้องฟ้า


ฟอนส์ (Fauns)

     ฟอนส์เป็นเทพที่มีท่อนล่างและหูเป็นกวาง มีผิวเรียบ ที่บ่ามีขนอ่อนนุ่ม ใบหน้าก็เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเอาการ
     เหล่าบรรดาฟอนส์นั้นแม้จะถูกเรียกว่าเป็นภูต แต่มีบรรพบุรุษเป็นเทพ ชื่อ เทพเฟานัส ดังนั้นจึงมีพรแห่งความอุดมทางการเกษตรไปในตัว 
     กล่าวกันว่าไม่มีมนุษย์คนไหนรังเกียจฟอนส์ เพราะฟอนส์สุภาพและเป็นมิตรแถมนิยมความสงบ
     เทพเฟานัสนี้ได้ทรงประดิษฐ์คิดค้นขลุ่ยที่มีชื่อว่า ชอม ซึ่งพวกฟอนส์ทุกตนจะมีความเชี่ยวชาญในการเป่าขลุ่ยชนิดนี้ ตัวเพลงขลุ่ยที่เป่าออกมาจะสะกดนางอัปสร นางไม้จำพวกนิมฟ์ให้ออกมาเริงระบำตามเสียงขลุ่ย ซึ่งเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก แต่การเริงระบำนี้มักได้ยินไปถึงพวกเซนทอร์ด้วย ซึ่งจะพายกโขยงมาคว้าตัวนางอัปสรไป ในขณะที่ฟอนส์ผู้รักสงบ ตกใจกระเจิงเข้าป่าแบบช่วยอะไรไม่ได้
 

ฮาร์ปี้ (Harpy)

     ฮาร์ปี้ เป็นสิ่งมีชีวิตตามตำนานกรีกซึ่งมีรูปกายเป็นมนุษย์ผู้หญิงมีท่อนล่างเป็นนกและมีปีก
     กล่าวกันว่า แต่เดิมฮาร์ปี้มีเพียงสองตนเท่านั้น คือ เอลโล และ โอโซพีเทส ฮาร์ปี้ทั้งสองเป็นพี่น้องกับเทพีไอริส
     ไอริสเป็นเทพีผู้ทำหน้าที่นำสารให้กับเหล่าเทพเจ้าต่างๆ เช่นเดียวกับเฮอร์มิส หากแต่เฮอร์มิสนั้นขึ้นตรงต่อเทพบดีซูส ในขณะที่ไอริสเป็นเทพีใต้บัญชาของฮีร่า เทพีไอริสยังมีปีกเป็นนกเช่นเดียวกับอีรอส และมักถูกกล่าวถึงในลักษณะของสาวน้อยมีปีก ถือคทานำสาร นอกจากนี้ ไอริสยังเป็นเทวีพรหมจรรย์ และถือเป็นเทพีแห่งสะพานสายรุ้งอีกด้่วย


บาซิลิสก์ (Basilisk)

     บาซิลิสก์ มีลักษณะคล้ายๆ งูที่มีมงกุฎสีทองเล็กๆ บนหัวไก่ ในยุคกลางมีผู้เชื่อว่ามันเป็นเพียงงูที่มีหัวเหมือนไก่ บางครั้งมีหัวเป็นคน บาซิลิสก์เกิดจากไข่ที่ออกมาจากพ่อไก่ระหว่างที่มีกลุ่มดาวสุนัขปรากฏบนท้องฟ้า และได้คางคกเป็นผู้กกไข่ให้ การมองบาซิลิสก์นั้นน่ากลัวสยดสยองมาก ถ้าใครก็ตามได้เพียงเห็นมันมองผ่าน แม้แต่ทางกระจกก็อาจตายได้ทันที เพราะความกลัว
     วิธีเดียวที่จะฆ่ามันได้ก็คือ ต้องถือกระจกไว้ข้างหน้าตัวมันก่อนที่มันจะมองผ่านมา แล้วเมื่อมันมองมาในกระจกนั้นมันก็จะเห็นเงาตัวเองในกระจกและตายทันที 
     ซึ่งชื่อ บาซิลิสก์ นี้ได้ถูกตั้งเป็นชื่อเรียกสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์ของกิ้งก่าจำพวกหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ มีหงอนบนหัว และสามารถวิ่งได้เร็วมากจนวิ่งบนน้ำได้ โดยกิ้งก่าจำพวกนี้มีชื่อสกุลว่า Basiliscus


มันติดอร์ (Manticore)

     มันติคอร์เป็นสัตว์กรีก หัวเป็นมนุษย์ ตัวเป็นสิงโต หางเหมือนแมงป่อง จะร้องเพลงไพเราะอ่อนหวานเวลากินเหยื่อ
     มันติคอร์ เป็นสัตว์ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างคนกับสัตว์มีฟันอันแหลมคม นิสัยเจ้าเล่ห์ มีหน้าเป็นคน ตัวเป็นสิงโต ชื่อของมันมาจากภาษาเปอร์เซีย คือ martikhora แปลว่า ผู้กินคน
     อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของมันไม่ใช่สัตว์ แต่กลับเป็นใบหน้าของมนุษย์ มีฟันบนสามแถว และฟันล่างอีกสามแถว เป็นฟันที่แหลมคมและใหญ่กว่าเขี้ยวของสุนัขล่าเนื้อ ใบหูของมันก็คล้ายกับของมนุษย์ เว้นแต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่าและมีขนหยาบ ตาของมันมีสีน้ำเงินเท่าคล้ายนัยน์ตามนุษย์ แต่เท้าและกรงเล็บของมันเหมือนของสิงโต ที่ปลายหางของมันคือหางของแมงป่องที่อาจจะมีความยาวเกินกว่า 18 นิ้ว ที่ปลายสุดของหางมีเหล็กไนที่สามารถต่อยคนถึงตายได้ทันที มันสามารถปล่อยเหล็กไนที่มีลักษณะเหมือนกับลูกศร และสามารถยิงไปได้ไกล เมื่อปล่อยเหล็กไนไปแล้วมันก็จะม้วนหางกลับ หากมันจะยิงเหล็กไนไปทิศตรงข้าม มันจะยืดหางออกไปจนสุดแทน สัตว์ที่ถูกเหล็กไนของมันติคอร์จะตายทันที แต่ช้างเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มันจะไม่ทำร้าย


มิโนทอร์ (Minotaur)

     มิโนทอร์ ตามเทพนิยายกรีก มีตัวเป็นคน หัวเป็นวัว เกิดอยู่ในคุกที่ไม่มีทางออกสร้างโดย แดดาลุส นักประดิษฐ์ ซึ่งได้รับคำสั่งจากราชาไมนอส (Minos) เป็นห้องโถงที่มีทางเข้าทางออกวกวนน่าเวียนหัว มีทั้งชั้นล่างและชั้นบนเป็นเขาวงกต (Labyrinth)
     เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อไมนอสพยายามที่จะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์กษัตริย์ของครีต โดยต้องชนะในชาวครีต เขาจึงอ้างกับชาวครีตว่าเทพเจ้าก็เห็นดีที่จะให้เขาได้เป็นราชาด้วย ซึ่งเทพเจ้าจะตอบรับคำขอทุกข้อจากเขา
     กระนั้นขาวเมืองก็ยังไม่มั่นใจจึงขอให้เขาขอต่อเทพโพไซดอนให้ประทานวัวพ่วงพีให้ขึ้นมาจากท้องทะเลให้ชาวเมืองได้ดู
     แม้ในใจจะรู้ว่าการกระทำนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อขึ้นหลังเสือแล้วก็จำเป็นต้องไปให้สิ้นทาง ว่าแล้วไมนอสกับชาวเมืองก็แห่กันไปยังชายทะเลเพื่อขอพรต่อเทพโพไซดอน ไมนอสเริ่มทำพิธีแร้วอธิษฐานขอพรพร้อมให้สัญญากับโพไซดอนเทพแห่งมหาสมุทรว่า จะฆ่าวัวตัวนั้นเป็นการบูชายัญเพื่อเป็นการสรรเสริญเกียรติแห่งโพไซดอนทันที
     ไมนอสใช้เวลาไม่นานสิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น จู่ๆ ก็ปรากฏท้องน้ำแยกออกแล้วมีวัวขาวพ่วงพีโผล่ออกมาจากท้องสมุทรตามคำขอ ส่งผลให้ไมนอสได้ก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ในบัดดล แต่ไมนอสกลับไม่ได้คำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเทพ ทั้งนี้เพราะว่าวัวขาวตัวนั้นสวยงามเสียจนเขาไม่อาจตัดใจฆ่ามันได้ ไมนอสนำวัวธรรมดามาบูชายัญแทน ส่งผลให้เทพโพไซดอนพิโรธ กระทั่งคิดจะแก้แค้นกับไมนอส
     นั้นคือโพไซดอนสาปให้ ปาซิฟาอี มเหสีของไมนอสหลงรักวัว
     ปาซิฟาอีที่ต้องคำสาป เธอเฝ้าทุ่มเทดูแลวัวของเทพเจ้า เฝ้าโอบกอดทะนุถนอมลูบไล้อย่างเสน่หายิ่ง เจ้าหล่อนถึงขนาดสั่งให้ตามตัว แดดาลุส นักประดิษฐ์มาที่เมืองครีตเพื่อให้ทำอะไรอย่างนึงที่ค่อนข้างน่าตระหนกสำหรับตัณหาของนาง เพราะปาซิฟาอีสั่งให้สร้างแม่วัวปลอมขึ้นเพื่อตบตาเจ้าวัวหนุ่ม โดยนางจะเข้าไปหมอบสวมรอยอยู่ในร่างแม่วัวปลอมตัวนี้ คอยให้วัวงามของโพไซดอนมาร่วมอภิรมย์กับนาง
     ได้ความแล้วหลังจากปาซิฟาอีร่วมอภิรมย์กับวัวหนุ่มได้ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ ครั้นครบกำหนดนางก็คลอดบุตรออกมาความลับที่ปิดบังไว้ก็แตก
     ไมนอสแทบกระอักเพราะความอับอาย พระองค์เพิ่งนึกได้ว่านี่คือการแก้แค้นของเจ้าสมุทร แม้ว่าอยากจะสังหารเจ้าเด็กปิศาจนี่ทิ้งเพียงไร ก็ทำไม่ได้เพราะเกรงว่าหากทำอะไรที่ขุ่นเคืองโพไซดอนซ้ำสอง คราวนี้อาจไม่พ้นความพินาศ จึงต้องขมขื่นเลี้ยงไว้
     โอรสวัวแห่งไมนอสนั้น เติบโตได้รวดเร็วมาก ไม่ช้าเขาเล็กๆ ของมันก็เติบโตวงกว้างแขนคนเหยียดออก และกลายเป้นสัตว์กระหายเลือดต้องการเนื้อคนเป็นอาหาร
     ไมนอสได้ทำสิ่งหนึ่งที่สามารถหยุดยั้งสัตว์ร้ายไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านหาคนกินตามอำเภอใจ ด้วยการสั่ง แดดาลุส ให้สร้างคุกที่ไ่ม่มีทางออก แดดลาลุสจึงสร้างห้องโถงที่มีทางเข้าออกวกวนเป็นเขาวงกต ซึ่งมิโนทอร์ไม่สามารถออกไปได้จริงๆ เสียด้วย
     ไมนอสได้ทราบข่าวด้วยหัวใจชอกช้ำซ้ำสอง เพราะโอรสทั้งสองพระองค์ได้ถูกชาวเอเธนส์สังหาร พระองค์จึงกรีฑาทัพโอบล้อมเอเธนส์ จนชาวเอเธนส์ต้องเจรจาหย่าศึก ไมนอสมีข้อแม้เดียวคือ ทุกๆ เก้าปี เอเธนส์จะต้องส่งหญิงสาว 7 คน และชายหนุ่ม 7 คน เพื่อจะนำเหยื่อเหล่านี้ส่งไปในเส้นทางวกวนที่มีเพียงแสงสลัวๆ ซึ่งเหยื่อเหล่านั้นก็พบจุดจบที่สยดสยอง
     จนกระทั่งเกิดวีรบุรุษขึ้นนามว่า ธีซูส เขาได้เดินทางไปกับบรรดาเหยื่อรุ่นใหม่ เรื่องสำเร็จได้เพราะความรัก อรีแอดนี ธิดาของไมนอสตกหลุมรักชาวหนุ่มเอเธนส์ทันทีที่เห็น ขณะที่ยามผลักไสธีซูสให้เข้าไปในเขาวงกต อรีแอดนี ก็ยัดด้ายใส่มือเขาไปด้วย
     ธีซูสโรยด้ายมาตามทางเดินที่วกวน เขาคอยเงี่ยหูฟังเสียงมิโนทอร์อย่างระมัดระวัง จวบจนกระทั่งถึงทางหักเลี้ยวแรก ธีซูสได้ยินเสียงฝีเท้าคน พร้อมกับเสียงหายใจฟืดฟาดของวัวที่พุ่งเข้าหาด้วยความเร็ว
     แทนที่จะได้ลิ้มรสเนื้อหอมหวานนุ่มของหนุ่มสาวเหมือนเช่นเคย มิโนทอร์กลับเจอกับนักรบที่คล่องแคล่วว่องไว ธีซูสสามารถกระโดดหลบการโจมตีของมิโนทอร์ได้ทุกครั้ง พบได้โอกาสก็จับเขาของมิโนทอร์ไว้ และใช้กำลังออกแรงบิดอย่างฉับพลัน ทำให้คอของมิโนทอร์หักสะบั้น วัวดุในร่างมนุษย์ที่ดุร้ายน่าสะพรึงกลัวของครีตก็ได้สิ้นชื่อในบัดดล


ราชสีห์นีเมียน (Nemean)

     อสูรกายนีเมียน เป็นลูกของอสูรไทฟอนและอสูรอิคิดนามันคือหลานของจีอา พระแม่ธรณีนั่นเอง 
     ลักษณะของราชสีห์นีเมียนนั้น แท้จริงก็คือสิงโตนั่นเอง เพียงแต่แตกต่างจากสิงโตทั่วไปตรงที่เป็นสิงโตยักษ์ชอบจับผู้คนกินเป็นอาหาร และยังมีผิวกายที่แข็งมากแม้แต่ลูกธนูหรือไม้พลองของเฮอร์คิวลิสก็ไม่อาจทำอะไรมันได้
     เมื่อครังที่เฮอร์คิวลิสซึ่งเป็นบุตรของเทพเจ้าซูสและเจ้าหญิงแอลค์มีนี ได้รับคำสั่งจากยูริสเทียส กษัตริย์แห่งมีเซเนีย ซึ่งเป็นญาติ สั่งให้เขาทำงานเสี่ยงอันตราย 12 อย่างเพื่อเป็นการไถ่บาปตามคำทำนายของคนทรงจากเทวาลัยพยากรณ์แห่งเดลฟี งานชิ้นแรกของเฮอร์คิวลิสก็คือปราบราชสีห์นีเมียนนี่แหละ
     เฮอร์คิวลิสไล่ล่าเจ้านีเมียนออกมาจากถ้ำแล้วต่อสู้กับมันด้วยมือเปล่า และสามารถบีบคอมันจนตายคามือ ต่อจากนั้นจึงถอดเอาเล็บและถลกหนังมาคลุมร่างใช้เป็นเกราะป้องกันตัวในการออกผจญภัย เจ้านีเมียนอสุรกายราชสีห์ก็เป็นอันสิ้นชื่อเพียงเท่านี้
     


ไฮดรา (Hydra)

     ไฮดรา อาศัยอยู่ในบึงเลอร์นา เป็นหนึ่งในหกของลูกอสูรกายไทฟอนและอสูรกายอิคิดนา
     ไฮดรามีบทบาทและปรากฏตัวขึ้นในงานชิ้นที่สองของเฮอร์คิวลิส คือ ต้องไปปราบไฮดราอสูรกาย 9 หัว บางตำนานบอกว่า มี 10 หัว บางตำนานบอกว่ามีถึง 100 หัว ข้อนั้นไม่น่าหวั่นเกรงเท่ากับว่าเจ้าอสุรกายตัวนี้เมื่อหัวใดหัวหนึ่งของมันถูกตัดขาดก็จะมีหัวใหญ่งอกขึ้นมาเพิ่มเป็นสองหัว
     ไฮดรา คืออสูรกายซึ่งเป็นส่วนผสมของสัตว์หลายชนิด คือมีลำตัวเป็นสุนัข ร่างกายปกคลุมด้วยเกล็ดปลาแข็งแกร่ง มีหางเหมือนมังกร ส่วนหัวนั้นเหมือนงูหรือมังกร นอกจากนั้นลมหายใจของมันยังมีพิษร้ายขนาดทำให้คนที่เข้าใกล้ถึงแก่ความตายได้ ดังนั้นเฮอร์คิวลิสจึงต้องสูดลมหายใจให้เต็มปอดแล้วจึงค่อยวิ่งเข้าไปราวี โดยเอากระบองฟาดใส่หัวของมันด้วยแรงอันมหาศาลของเขา ทำให้หัวของไฮดราขาดกระเด็นลงมาหนึ่งหัวแต่มันก็งอกขึ้นมาใหม่ถึงสองหัว
     แต่ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของเฮอร์ีิคิวลิส เมื่อตัดหัวของไฮดราได้แล้วจึงได้ให้ผู้ช่วย คือ ไอโอลอส ผู้เป็นบุตรของอิฟิคลีส น้องคู่แฝดของเฮอร์คิวลิส โดยให้ไอโอลอสนำไฟลนที่คอของไฮดราเพื่อมิให้มีหัวใหม่งอกออกมา
     เมื่อสามารถตัดหัวสุดท้ายของไฮดราได้สำเร็จ เฮอร์คิวลิสได้เอาลูกธนูที่เทพบุตรอพอลโลประทานให้จุ่มเลือดของไฮดราเพื่อใช้เป้นลูกศรพิษ อาวุธสำคัญในการปราบอสูรกายตัวอื่นๆ ต่อไป เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจอีกชิ้นหนึ่งที่สำคัญ ก็เป็นการปิดฉากชีวิตของไฮดราไปด้วย


สฟิงซ์ (Sphinx)

     สฟิงซ์ เป็นสัตว์ในตำนานที่ดูเหมือนจะมีความหลากหลายมากตัวหนึ่ง ทั้งนี้เพราะแท้จริงมันไม่เพียงปรากฏอยู่ในเทพนิยายของกรีกเท่านั้น แต่ยังมีอยู่ทั่วไปในตำนานของชาติอื่นๆ อีกหลายชาติ เพียงแต่อาจจะมีลักษณะแตกต่างกันไปบ้างเท่านั้น ตามแต่บรรยากาศและสภาพแวดล้อม
     สฟิงซ์ของกรีกเป็นหนึ่งในลูกๆ ของอีคิดนาและไทฟอน สฟิงซ์มีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโตและมีปีกแบบนกอินทรีมีลักษณะนิสัยขอบทรยศหักหลัง ก้าวร้าวรุนแรงและกระหายเลือด และพวกนี้ยังชอบกินคนเป็นอาหารด้วย
     ลักษณะเด่นชัดของสฟิงซ์กรีกอีกอย่างหนึ่งก็คือความคล้ายแมวหรือจะ่ว่าอีกทีก็คล้ายผู้หญิงด้วย นั่นคือมันจะพูดคุยหยอกเหยื่อของมันก่อนที่จะกินเข้าไป แ่ต่อย่างไรก็ตามถ้าหากเกิดเหยื่อหนีรอดไปได้ สฟิงซ์จะบินดิ่งทิ้งตัวกระแทกพื้นหรืออะไรสักอย่างด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตายไปเอง
     ตามปกติสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อที่ผ่านมาในทันทีทันใด แต่จะให้โอกาสเหยื่อด้วยการถามปัญหา ที่เรียกกันว่าปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx) ซึ่งสัญญาจะปล่อยเหยื่อเป็นอิสระหากตอบปัญหาของนางได้ ตามท้องเรื่องที่จะกล่าวถึงอีดิปุส แห่งโครินท์ผ่านมาในเมืองธีบีสพอดิบพอดี สฟิงซ์กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ แลบลิ้นเลียปากด้วยความอยากกินเนื้อ ก่อนจะส่งเสียงคำรามให้ขวัญหายเข้าใส่อีดีปุสและถามปัญหา 
     "อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสองตีนในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น?"
     แต่อีดีปุสตอบอย่างไม่ลังเล "อ๋อ มันก็คือมนุษย์นั่นแล ย่อมเดินด้วยการคลานทั้งมือและเข่าเมื่อยังเป็นเด็ก ยืนด้วยขาสองขาเมื่อโตเต็มที่และต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเป็นขาที่สามในยามสายัณห์ของชีวิต"
     สฟิงซ์เมื่อได้รับฟังคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากมนุษย์หน้าไหนเลย ถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ นางโผบินขึ้นไปบนฟ้าแล้วทิ้งตัวดิ่งลงฆ่าตัวตายในทะเล


ไคเมร่า (Chimera)

     ไคเมร่า เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก ในตำนานเล่าว่าไคเมร่าเป็นลูกของอิคิดนาและไทฟอน เป็นพี่ชายของเซอร์เบอรัส ไคเมร่ามีร่างกายกำยำและเป็นที่รวมของสัตว์ร้าย 3 ชนิด คือ ส่วนหัวถึงหน้าอกเป็นสิงโต ลำตัวเป็นแพะ แต่บั้นท้ายกลับเป็นงู นอกจากนี้ยังสามารถพ่นไฟออกมาได้เหมือนมังกรอีกด้วย 
     เรื่องของเรื่องคือ ไคเมร่าบุกเข้าทำลายเมืองลีเซีย ทำให้กษัตริย์โลเบทีส ซึ่งเป็นเจ้าปกครองเมืองอยู่ในขณะนั้น ต้องการผู้มาปราบเจ้าสัตว์ร้ายตนนี้ บังเอิญวีรบุรุษเบลเลอโรฟอนขี่ม้าบินเพกาซัสผ่านมาพอดีจึงอาสาที่จะฆ่าเจ้าสัตว์ร้ายตนนี้ แต่มันออกจะเป็นเรื่องยาก เพราะ แต่ละหัวของมันมองได้ทุกทิศทาง เบอเลอโรฟอนขี่ม้าบินเพกาซัสฉวัดเฉวียนอยู่เหนือคู่ต่อสู้ คอยหลบเปลวเพลิงที่พวยพุ่งออกมาจากปากของมัน และกระหน่ำห่าธนูใส่ จนในที่สุดเจ้าอสูรก็สิ้นชีพ


เซอร์เบอรัส (Cerberus)

     เซอร์เบอรัส หรือ เคอร์เบอรอส แปลว่า ปิศาจในหลุม เป็นสัตว์ในเทพปกรณัมกรีก มีรูปร่างเป็นสุนัขสีดำใหญ่โตพ่วงพี มี 3 หัว ปลายสุดของหายเป็นงู (บางตำนานว่าเป็นหางมังกร) เซอร์เบอรัสมีหน้าที่เฝ้าทางลงสู่นรกที่หน้าประตูทางเข้าทาร์ืทะรัส
     เซอร์เบอรัสเป็นผู้รับใ้ช้ที่ซื่อสัตย์ของฮาเดส มันจะยอมให้วิญญาณของคุนทุกคนเข้าประตู แต่จะไม่ยอมให้กลับออกมาเป็นอันขาด เมื่อไปถึงประตูนี้ วิญญาณแต่ละดวงจะถูกพาไปรับคำพิพากษาของสามเทพสุภาคือ ราดาแมนทีส ไมนอส และ ไออาคัส วิญญาณที่ชั่วร้ายจะถูกพิพากษาให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในตรุทาร์ทะรัสไปชั่วกัลป์ ส่วนวิญญาณที่ดีจะได้รับคำพิพากษาให้พาไปอยู่ยังทุ่งอีลิเซียนแดนสุขาวดีของกรีก
     นอกจากนี้ เซอเบอรัสยังอยู่ในภาระกิจที่ 12ของเฮอร์คิวลิสอีกด้วยเฮอร์คิวลิสสามารถจับเซอร์เบอรัสได้ด้วยพลังอันมหาศาลของเขา นอกจากเฮอร์คิวลิสแล้ว ออร์เฟียสเคยใช้เสียงเพลงสะกดเซอร์เบอรัสให้เชื่องขณะเข้าไปในยมโลกเพื่อคืนชีพให้คนรัก ในตำนานของโรมัน ไซคีได้ทำให้เซอร์เบอรัสหลับด้วยเค้กน้ำผึ้งใส่ยานอนหลับ


ลาดอน (Ladon)

     ลาดอน เป็นอีกหนึ่งในลูกของไทฟอนและอีคิดนา เป็นมังกรร้อยหัว มีหน้าที่เฝ้าสวนแห่งเทพธิดาเฮสพิริเดส ธิดาแห่งรัตติกาล ที่ซึ่งว่ากันว่าเป็นที่เก็บแอปเปิลทองคำ ซึ่งสวนแห่งนี้มีที่ตั้งอยู่ ณ สุดขอบโลก ลาดอนนี้บางครั้งผู้คนมักเรียกว่ามันเป็นมังกรซ่อนหาก็เพราะว่ามันจะเล่นซ่อนแอบกับเฮลพิริเดสอยู่ในสวนของนาง สวนแห่งนี้เป็นสวนสวรรค์ที่ตั้งอยู่บนท้องฟ้า มีแอทลาสเป็นผู้แบกเอาไว้บนบ่า ดังนั้นนอกจากงานเฝ้าสวนสวรรค์แล้วลาดอนเลยคอยแกล้งแอทลาสเป็นประจำ
     ตามตำนานเล่าว่าเมื่อครั้งที่เฮอร์คิวลิสไปที่สวนนี้เพื่อเอาแอปเปิลในภาระกิจทั้ง 12 ของเขานั้น ช่วงแรกเฮอร์คิวลิสเองก็หาแอปเปิลและสวนที่ว่านี้ไม่เจอเหมือนกัน แต่ต่อมานีรีอุสเทพแห่งท้องทะเลมาบอกแก่เขา
     เมื่อมีจุดหมายแน่นอน เฮอร์คิวลิสก็มุ่งตรงไปยังสวนแห่งนี้เขาพบกับยักษ์แอทลาสซึ่งมีหน้าที่แบกสวนแห่งนี้เอาไว้
     เฮอร์คิวลิสก็ใ้ช้อุบายหลอกให้แอทลาสเข้าไปเอาแอปเปิลทองคำมาให้ตนโดยเขาจะทำหน้าที่แบกลูกโลกไว้แทน ว่าแล้วแอทลาสก็ดีใจยอมยกโลกที่แบกให้กับเฮอร์คิวลิส แล้วเข้าไปในสวนนั้นเป็นเวลา 3 วัน แล้วกลับมาพร้อมกับแอปเปิลทองคำมาวางแทบเท้าของเฮอร์คิวลิส
     งานของแอทลาสสำเร็จหวังว่าจะได้หยุดแบกโลกเสียทีเพราะเฮอร์คิวลิสมารับภาระไว้แล้ว แต่สุดท้ายเฮอร์คิวลิสก็ออกอุบายอีกครั้งทำให้แอทลาสต้องกลับมาแบกโลกใหม่ โดยเฮอร์คิวลิสขอเวลาหาที่รองบนไหล่เพื่อให้เขาสามารถแบกรับน้ำหนักโลกและสวรรค์ได้ เมื่อแอทลาสมาแบกโลกต่อ เฮอร์คิวลิสก็หยิบแอปเปิลและวิ่งหนีไป
     ระหว่างที่หนีนั้นเฮอร์คิวลิสเจอกับลาดอนมังกรยักษ์ เกิดการต่อสู้กันและฆ่าลาดอนได้สำเร็จด้วยธนู


นี่เป็นเพียง 1 ส่วนของตำนานสัตว์ในเทพนิยายกรีก-โรมันโบราณ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนั้นอ้างอิงมาจาก หนังสือสัตว์ประหลาดในเทพนิยายกรีก-โรมัน ที่เรียบเรียงโดย DR.KNOW ซึ่งหากอยากรู้เรื่องราวความเป็นมาเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากร้านหนังสือทั่วไป

1 ความคิดเห็น: