วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

สภาเทพแห่ง "โอลิมปัส"

     เพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นภาพของบรรดาเหล่าทวยเทพให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในบทนี้จึงต้องมาดูกันว่า ใครเป็นใครในบรรดาเทพชั้นสูงบนสวรรค์ "โอลิมปัส" ซึ่งแน่นอนที่สุดกลุ่มแรกที่ต้องมาสนใจกันก็คือบรรดาเทพทั้ง 12 แห่งโอลิมปัส หรือที่เรียกกันว่า คณะเทพแห่งโอลิมปัส

     สภาเทพแห่งโอลิมปัส (Olympus) มีเทพและเทพีทั้งหมด 12 องค์


ซูส (Zeus)

     1. ซูส (Zeus) เป็นพระบิดาของบรรดาเทพเจ้าเหล่าอมตชน รวมทั้งเป็นประมุขแห่งสวรรค์ด้วย ซูสเป็นบุตรแห่งโครนัสกับรีอา มีพี่น้องอีก 5 องค์ คือ ดีมิเตอร์(Demeter) ฮาเดส(Hades) ฮีร่า(Hera) เฮสเทีย(Hestia) และโพไซดอน(Poseidon)
     ซูสมีอาวุธเป็น Thunderbolt(สายฟ้า) มีนกประจำพระองค์ คือ นกอินทรี มีสถานศักดิ์สิืทธิ์ที่ อาร์คอเดีย(Arcadia) ดอโดน่า(Dodona) และโรเดส(Rhodes) ซึ่งจะมีการรำลึกถึงพระองค์ โดยการจัดแข่งกีฬาโอลิมปิค 4 ปีต่อครั้ง บนภูเขาโอลิมปัสนั่นเอง
     พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของไทแทนโครนัส และไทแทนรีอา ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่าพระองค์ได้สมรสกับเทพีฮีร่า(Hera) แต่ก็มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า ที่อ้างว่าคู่สมรสของเทพซูส แท้จริงแล้วคือเทพีไดโอเน่(Dione)
     เทพซูสมักมีชื่อเสียงในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ด้วยเช่นนั้น พฤติกรรมของพระองค์ทำให้เกิดผู้สืบเชื้อสายอยู่หลายองค์และหลายคนด้วยกัน อาทิเช่น เทพีอาเธน่า เทพอพอลโล เทพีอาร์ทีมิส เทพเฮอร์มีส เทพีเพอร์ซิโฟเน่ เทพไดโอนีซูส วีรบุรุษเพอร์ซีอุส วีรบุรุษเฮอร์คิวลิส เฮเลนแห่งทรอย กษัตริย์ไมนอส และเหล่าเทพีมิวเซส
     นามของพระองค์ในตำนานเทพปกรณัมโรมัน คือ เทพจูปิเตอร์(Jupiter) และนามในตำนานอีทรูสแคน คือ เทพไทเนีย(Tinia)



โพไซดอน (Poseidon)

     2. โพไซดอน(Poseidon) เทพเจ้าแห่งท้องทะเลของกรีก เป็นบุตรแห่งโครนัสกับรีอา มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันอีก 5 องค์ คือ ดีมิเตอร์ ฮาเดส ฮีร่า เฮสเทีย และ ซูส
     โพไซดอนเป็นผู้ที่ประทานม้าให้แก่มนุษย์ เคยช่วยอพอลโลสร้างกำแพงเมืองทรอย และยังสร้างความเกลียดชังที่ไม่อาจแก้ไขได้ให้แก่ทรอยด้่วย หลังจากที่ทรงทำอุบายให้นำม้าไม้โทรจัน(Trojan) เข้าไปในเมือง สัญลักษณ์ของพระองค์ คือ สามง่ามหรือตรีศูล ที่สามารถแหวกน้ำทะเล และทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้
     รูปลักษณ์ของโพไซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ครั้งหนึ่งโพไซดอนเคยคิดจะโค่นอำนาจของซูส โดยร่วมมือกับฮีร่าและอาเธนนา แต่ไม่สำเร็จจึงถูกซูสลงโทษโดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโล
     โพไซดอนมีมเหสีองค์หนึ่ง ที่เป็นหญิงรับใช้ของอาเธนา คือ เมดูซ่า(Medusa) ก่อนที่จะถูกสาปให้มีผมเป็นงู เพราะโพไซดอนหลงใหลในความงามของเมดูซ่า เมื่ออาเธนาทราบเรื่องจึงสาปให้เมดูซ่าเป็นปิศาจที่มีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด เมื่อวีรบุรุษเพอร์ซิอุสตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้ว เลือดของเมดูซ่าที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัวคือ เพกาซัส(Pegasus) และ คริสซาออร์(Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้งเพกาซัสและคริสซาออร์เป็นลูกของโพไซดอนด้วย
     โพไซดอนมีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพไซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล
     ในสมัยโบราณ ที่แหลมสุนิออน ห่างจากกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซไม่มาก มีวิหารที่สร้างถวายแด่โพไซดอนอยู่





ดีมิเตอร์ (Demeter)

     3. ดีมิเตอร์(Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และเกษตรกรรม
     ดีมิเตอร์ เป็น 1 ใน 3 น้องสาวที่เป็นมเหสีของซูส เทพีดีมิเตอร์มีธิดาองค์หนึ่งทรงนามว่า พรอสเซอไพน์(Proserpine) หรือ เพอร์ซิโฟเน่ เป็นเทพีครองฤดูผลิตผลของพีชทั้งปวง ซึ่งถูกเทพฮาเดสลักพาตัวไปเป็นคู่ครองในยมโลก ดังมีเรื่องพิสดารดังนี้
     หลังจากที่ฮาเดสหลอกล่อจนสามารถจับตัวเพอร์ซิโฟเน่ได้แล้วเทพฮาเดสก็เร่งขับรถไปจนถึงแม่น้ำไซเอนี(Cyane) ซึ่งขวางหน้าอยู่เห็นในแม่น้ำเกิดปั่นป่วน แผ่ขยายท่วมท้นตลิ่งสกัดกั้นตัวเทพเอาไว้ จึงชักรถไปทางอื่นแล้วใช้ง่าม 2 แฉก อาวุธประจำกายแทงลงบนแผ่นดินเพื่อให้แยกออกเป็นช่อง แล้วขับรถลงไปยังบาดาล ในขณะเดียวกันนั้นเพอร์ซิโฟเน่แก้สายรัดองค์ขว้างลงในแม่น้ำไซเอนี พลางร้องบอกนางอัปสรประจำแม่น้ำให้เอาไปถวายเจ้าแม่ดีมิเตอร์ผู้เป็นมารดาด้วย
     ฝ่ายดีมิเตอร์แม่โพสพกลับมาจากทุ่งข้าวโพดไม่เห็นธิดา เที่ยวเพรียกหาก็ไม่เห็นวี่แววอันใด นอกเพียงจากดอกไม้ที่ตกเรี่ยราดกลาดเกลื่อนอยู่ เจ้าแม่เที่ยวหาไปตามที่ต่างๆ พลางกู่เรียกไปตลอดวันและคืน
     กระนั้นเจ้าแม่ก็ไม่ลดละความพยายาม คงดั้นด้นเรียกหาธิดาไปตามทาง มิได้ห่วงถึงภาระหน้าที่ประจำที่เคยปฏิบัติแต่อย่างใด ดอกไม้ทั้งปวงจึงเหี่ยวเฉาเพราะขาดฝนชะโลมเลี้ยง พืชพันธุ์ธัญญาหารถูกแดดแผดเผาจนเหี่ยวเฉา ในที่สุดเจ้าแม่ก็สิ้นหวัง ลงนั่งพักที่ริมทางแล้วร้องไห้อย่างคร่ำครวญ
     เวลาผ่านไปเมื่อได้รู้ถึงที่อยู่ของธิดาดังนี้แล้วเจ้าแม่ดีมิเตอร์จึงรีบไปอ้อนวอนเทพปริณายกให้ช่วย ซูสอนุโลมตามคำวอนขอ โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าเพอร์ซิโฟเน่ไม่ได้เสพเสวยสิ่งใดในระหว่างที่อยู่บาดาล จะให้ฮาเดสส่งเพอร์ซิโฟเน่ขึ้นมาอยู่กับมารดา แล้วมีเทวบัญชาให้เฮอร์มีสลงไปสื่อสารแก่ฮาเดสในยมโลก เจ้าแดนบาดาลจำต้องยอมโอนอ่อนจะส่งเพอร์ซิโฟเน่คืนสู่ดีมิเตอร์แต่ในขณะนั้นภูตครองความมืดแอสกัลละฟัส(Ascallaphus) ร้องประกาศขึ้นว่า ราชินีแห่งยมโลกได้เสวยเมล็ดทับทิมแล้ว 3 เมล็ด ในที่สุดจึงตกลงกันเป็นที่ยุติว่า ในปีหนึ่งๆ ให้เทพีเพอร์ซิโฟเน่อยู่กับฮาเดสในยมโลก 3 เดือน สำหรับเมล็ดทับทิมที่เสวยเมล็ดละเดือนแล้วให้กลับขึ้นมาอยู่กับมารดาบนพิภพอีก 3 เดือนสลัีบกันอยู่ทุกปีไป
     ด้วยเหตุนี้เมื่อเทพีเพอร์ซิโฟเน่อยู่กับมารดา โลกจึงอยู่ในระยะกาลของวสันตฤดู พืชพันธุ์ธัญญาหารนานาชนิดผลิดอกออกผล และเมื่อเทพีเพอร์ซิโฟเน่ลงไปอยู่ในบาดาล โลกก็ตกอยู่ในระยะกาลของเหมันตฤดู พืชผลทั้งปวงร่วงหล่นซบเซา อันเป็นความเชื่อของชาวกรีกและโรมันโบราณ

ฮีร่า (Hera)

    4. ฮีร่า(Hera) ราชินีแห่งสวรรค์ เป็นบุตรีแห่งโครนัสกับรีอา เธอได้ขอให้ซูสเข้าพิธีสมรสกับเธอ หลังจากที่ซูสปรารถนาจะมีเพศสัมพันธ์กับเธอ
     ฮีร่าเป็นเทพีแห่งการให้กำเนิดทารก การสมรส และสตรี เมืองที่เธอโปรดปรานคือเมืองอาร์กอส(Argos) ซึ่งได้มาจากการเอาชนะโพไซดอน และเมืองสติมฟาลัส(Stymphalus) ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของเธอ ผู้ติดตามของเธอชื่อ ยูบีย่า(Euboea) สัตว์ประจำพระองค์คือนกยูง ผลไม้คือแอปเปิลและทับทิม
     เทพีฮีร่าได้ชื่อว่าเป็นหญิงที่ขี้หึงที่สุดในบรรดาเทพีแห่งสวรรค์ เธอมักจะตามไปลงโทษผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับซูส ทั้งที่บางครั้งหญิงเหล่านั้นดูเหมือนถูกซูสข่มขืนเสียมากกว่า



เฮสเทีย (Hestia)

      5. เฮสเทีย(Hestia) เทพีแห่งการครองเรือน เทพีแห่งครอบครัวเป็น 1 ใน 6 ของบุตรและบุตรีแห่งโครนัสกับรีอา พระนางเป็นเทพีที่เป็นพรหมจารีตลอดชีวิต ทั้งๆ ที่ได้รับการสู่ขอจากอพอลโลและโพไซดอนหลายครั้ง
     ในฐานะของเทพีผู้รักษาบ้าน พระนางเป็นผู้ที่สร้างบ้านขึ้นเป็นคนแรก วิหารของพระนางอยู่ที่กรุงโรม ซึ่งจะได้รับการบวงสรวงจากสาวพรหมจารี พระนางมีสัญลักษณ์เป็นไฟอันเป็นนิรันดร




อาเรส (Ares)

     6. อาเรส (Ares) เทพแห่งสงคราม บุตรของโครนัสกับรีอาเป็นพี่ชายของอีรีส(Eris) พระองค์เป็นชู้รักของอะโฟรไดท์ ซึ่งเป็นน้องสาวของตนเอง
     สัตว์ประจำพระองค์ คือ เหยี่ยว และสุนัขมังกรไฟ ม้าของพระองค์มี 4 ตัว ชื่อ Aithon,Conabos,Phlogios และ Phobos พระองค์อยู่ฝ่ายทรอย เมื่อครั้งทำสงครามกับกรีก และถูก อโลอีเดอี(Aloeidae) ขังไว้ในโอ่งสำริดเป็นเวลาถึง 13 เดือน




อพอลโล (Apollo)

     7. อพอลโล(Apollo) หรือ อพอลลอน เทพเจ้าแห่งการทำนาย กีฬา การรักษา และดนตรี
         อพอลโลเป็นชื่อที่ชาวโรมันเรียก ขณะที่ชาวกรีกเรียก อพอลลอน เป็นบุตรชายคนโตของมหาเทพซูสกับลีโต(Leto)
     อพอลโลมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ คือ ลอเรล(Laurel) สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ คือ นกกาเหว่าและห่าน เครื่องดนตรีพระจำพระองค์ คือ พิณ และ เกาะประจำพระองค์ คือ เกาะดีลอส(Delos) พระองค์เป็นผู้ช่วยเหลือฝ่ายทรอยโดยเฉพาะเฮคเตอร์(Hector) ในสงครามกับกรีก นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นผู้สังหารไพธอน(Python) และไซครอปส์(Cyclops) อีกด้วย
     วิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ คือ เดลฟี(Delphi) ซึ่งที่นั่นจะมีนักบวชคอยบอกคำทำนายของพระองค์ให้แก่ประชาชนที่มาสักการบูชา
     อพอลโลมีพี่สาวฝาแฝดชื่อ อาร์ืีทีมิส หรือ ไดอาน่า(ในโรมัน) ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์คู่กัน อพอลโลเป็นบุรุษรูปงาม มักเล่นดนตรีด้วยพิณ เชี่ยวชาญการใช้ธนู
     นอกจากนี้แล้ว อพอลโล ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น ฟีบัส(Phoebus) อาเบล(Abel) ไพธูส(Pytheus) หรือเฮลิออส(Helios) ซึ่งแต่ละชื่อมีความหมายถึงแสงสว่างทั้งสิ้น
     ปัจจุบันอพอลโลเป็นชื่อที่ถูกอ้างอิงบ่อยๆ ในทางที่เกี่ยวกับแสงสว่างหรือความสำเร็จ เช่น เป็นชื่อปฏิบัติการทางอวกาศของนาซาที่เรียกว่า โครงการอพอลโล หรือเป็นชื่อยี่ห้อน้ำมันเครื่อง
     อพอลโลเป็นเทพที่ถูกปั้นด้วยทองแดงยืนคร่อมอ่าวทะเลอีเจียนที่เกาะโรดส์ที่มีชื่อว่า เทวรูปโคโลซัส นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์โลกยุคโบราณด้วย โดยทั่วไปรูปปั้นอพอลโลจะถือเครื่องดนตรีคล้ายพิณและมีลูกบอลทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์





อาร์ทีมิส (Artemis)

     8. อาร์ทีมิส(Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ เป็นบุตรีของซูสและลีโต เป็นพี่สาวฝาแฝดอพอลโล พระองค์เป็นเทพีที่เป็นพรหมจรรย์องค์หนึ่งใน 3 องค์ ภาพที่ผู้คนเห็นอยู่เสมอๆ คือ พระองค์จะถือธนูและศร มีสุนัขติดตาม บางครั้งอาจเห็นเธออยู่บนรถศึกเทียมด้วยกวางขาว
     เธอคือเทพีองค์เดียวกับไดอาน่า เทพีที่มีอิทธิพลต่อทุกสรรพสิ่งที่ปลูกอยู่บนดินและในดิน และการแพร่พันธุ์ของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งมนุษย์ด้วย
     เทพีอาร์ทีมิส ทันทีที่ลืมตาดูโลก เธอก็ร้องขออาภรณ์แห่งนักล่าสัตว์จากเสด็จพ่อของเธอและท่านก็ประทานคันธนูทองพร้อมกระบอกธนู ซึ่งเธอได้ใช้ประหัตประหารในการผจญภัยครั้งแรกๆ ร่วมกับแฝดอพอลโล ซึ่งหลังจากนั้นอาร์ทีมิสก็เลิกราชการออกผจญภัยโดยเด็ดขาด และพึงพอใจที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศทุรกันดารในป่าดิบคาเดีย แห่งอาร์คาเดีย และตั้งปณิธานที่จะกลายเป็นผู้อนุรักษ์ธรรมชาติที่นั้น
     นางกำนัลที่ล้อมกายของเธอที่ได้รับการเลือกสรรแล้วนั้น คือ นางไม้ 12 ตนซึ่งมีหน้าที่ดูแลฝูงหมาล่าเนื้อที่ดุร้ายของเธอ นอกเหนือจากปณิธานในการให้ความอุดมสมบูรณ์กับสิ่งต่างๆ แล้ว สิ่งที่อาร์ทีมิสรักมากก็คือธรรมชาติและการกีฬาทุกชนิด เธอไม่มีเวลาให้เพศตรงข้าม เพราะเธอหวงแหนพรหมจารีของตนอย่างยิ่ง ทั้งไม่ยอมให้ข้าราชบริพารรอบข้างประพฤติเรื่องกามวิสัียอีกด้วย
    เมื่อครั้งหนึ่งนางไม้ คัลลิสโต(Callisto) ซึ่งอยู่ในหมู่นางกำนัลของเธอยินยอมให้ซูสมามีสัมพันธ์สวาทด้วย อาร์ทีมิสถึงกับบันดาลโทสะตามล่าตามล้างนางไม้ตนนั้น ซูสเองก็พยายามป้องกันคัลลิสโตจากความโกรธเกรี้ยวของลูกสาว โดยเปลี่ยนนางให้เป็นหมี แต่ก็ไม่อาจห้ามโทสะของอาร์ทีมิสให้อ่อนลงได้ ในที่สุดนางหมีก็ถูกหมาล่าเนื้อรุมล้อมฉีกเนื้อและอาร์ทีมิสก็ประหารนางด้วยคมธนูของเธอเอง
     อาร์ทีมิสเป็นผู้สร้างให้กฏของความงามและความบริสุทธิ์ของป่าแต่จะบันดาลความโหดร้ายต่อคนที่กล้าขัดขืน
     ชายคนใดที่บังเอิญได้เห็นเธอวิ่งนำหน้านางไม้ 12 ตน ล้อมรอบด้วยหมาล่าเนื้อวิ่งเวียนเห่า ยามที่เธอยกคันธนูขึ้นเล็งกวางตัวงาม ควรจะรีบหลบตามองไปทางอื่นก่อนที่อาร์ทีมิสจะหันมาเห็นประกายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาอันมิอาจซ่อนเร้น ความสง่าและความงามของเธอ คือ สัญลักษณ์ของความลึกลับของผู้หญิง ซึ่งผู้ชายชอบตามล่าอยู่เสมอ
   

เฮอร์มีส (Hermes)

     9. เฮอร์มีส(Hermes) เทพแห่งการค้า เทพแห่งการโจรกรรมและผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ เป็นบุตรของซูสกับไมอา(Maia) สมรสกับลาร่า(Lara) พระองค์มักปรากฏกายในลักษณะสวมหมวกปีกกว้าง สวมรองเท้ามีปีก ถือคทาที่มีงูพัน เป็นผู้ประดิษฐ์พิณเป็นครั้งแรก โดยใช้เอ็นวัวขึงกับกระดองเต่า
     พระองค์เป็นเทพองค์แรกที่สามารถจุดไฟโดยใช้ไม้สีกัน เป็นผู้คุ้มครองการค้าขาย โชคลาภ การแข่งขัน และการขโมย ว่ากันว่าพระองค์สามารถขโมยฝูงวัวของอพอลโล เมื่อเกิดมาได้เพียง 1 วัน
     เฮอร์มีสมีชื่อในตำนานเทพเจ้าโรมันว่า เมอร์คิวรี่ เป็นเทพผู้คุ้มครองเหล่านักเดินทาง คนเลี้ยงแกะ โจรผู้เร่ร่อน กวี นักกีฬา นักประดิษฐ์ และพ่อค้า อาจเรียกได้ว่า เฮอร์มีสเป็นเทพแห่งการสื่อสารมีของวิเศษคือหมวกและรองเท้ามีปีก บุตรของเฮอร์มีส ได้แ่ก่ เทพแพน(Pan) เทพเฮอร์มาโฟรไดทัส(Hermaphroditus) และเทพออโตไลคัส(Autolycus)
     เมอร์คิวรี่ หรือ เฮอร์มีส เป็นเทพที่มีผู้รู้จักมาก เนื่องจากมีรูปปรากฏคุ้นตามากกว่าเทพองค์อื่นๆ คนมักนำรูปเทพองค์นี้ หรืออย่างน้อยก็ของวิเศษอย่างหนึ่ง คือ รองเท้ามีปีก มาแสดงเป็นเครื่องหมายถึงความเร็ว นอกจากรองเท้าแล้ว หมวกและไม้ถืออันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เวลาเดินทางจะไปอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่า ไปเร็วเพียงความคิด ทีเดียว
     สำหรับหมวกและรองเท้ามีปีกของเฮอร์มีสนั้นเรียกว่า เพเตซัส(Petasus) และทาลาเรีย(Talaria) เป็นของที่ได้รับประทานจากซูสเทพบิดาซึ่งโปรดให้เฮอร์มีสเป็นเทพพนักงานสื่อสารประจำพระองค์ ส่วนไม้ถือศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า คาดูเซียส(Caduceus) เดิมเป็นของเทพอพอลโลใช้ต้อนวัวควายในครอบครอง ครั้งหนึ่งเฮอร์มีสขโมยวัวของอพอลโลไปซ่อน อพอลโลรู้ระแคะระคายดังนั้นจึงมาทวงถามให้เทพภราดรคือวัวแก่เธอ
     เฮอร์มีสยังเยาว์อยู่ กลับย้อนถามว่าวัวอะไรที่ไหนกันไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยิน อพอลโลจึีงไปฟ้องร้องต่อเทพบิดาซูสให้ไกล่เกลี่ยให้เฮอร์มีสคืนวันให้ ต่อมาอพอลโลได้วัวคืนแล้วก็ไม่ถือโทษเทพผู้น้อง แม้ว่าวัวจะขาดจำนวนไป 2 ตัว เพราะเฮอร์มีสเอาไปทำเครื่องสังเวยเสียแล้วก็ตาม อพอลโลเห็นเฮอร์มีสมีพิณคันหนึ่งเรียกว่า ไลร์ เป็นของที่เฮอร์มีสประดิษฐ์ขึ้นเองด้วยเอ็นวัวขึงกับกระดองเต่าก็อยากได้จึงเอาไม้คาดูเซียสไปขอแลก ไม้ถือคาดูเซียสจึงเป็นของเฮอร์มีสด้วยเหตุนี้และถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของเฮอร์มีสแต่ครั้นนั้น
     ไม้คาดูเซียส นี้แต่เดิมเป็นไม้ถือมีปีกเพียงเท่านั้น ต่อมาเฮอร์มีสถือไปพบงู 2 ตัว กำลังต่อสู้กัน เฮอร์มีสเอาไม้ทิ่มเข้าไประหว่างกลางเพื่อห้ามการวิวาท งูก็เลื่อยขึ้นมาพันอยู่กับไม้โดยหันหัวเข้าหากัน ตั้งแต่นั้นมางูนี้ก็พันอยู่กับไม้ถือคาดูเซียสตลอดมา และไม้ถือคาดูเซียสก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกลางด้วย ภายหลังได้ใช้เป็นสัญลักษณ์ของวงการแพทย์มาจนบัดนี้
     เฮอร์มีสไม่แต่จะเป็นเทพสื่อสารของซูสเท่านั้น หากยังเป็นเทพครองการเดินทาง การพาณิชย์ และตลาด เป็นที่บูชาของพวกหัวขโมยและมีหน้าที่เป็นมัีคคุเทศก์คอยนำวิญญาณคนตายไปสู่ยมโลกด้วย จนได้รับนามอีกชื่อหนึ่งว่า ไซโคปอมปัส(Psychopompus) สรุปว่าการสื่อสารและการเป็นคนกลางในกิจการทุกอย่างตกเป็นภาระของเฮอร์มีสหรืออยู่ในความสอดส่องทั้งสิ้น ส่วนการที่เฮอร์มีสเป็นที่นับถือบูชาของพวกขโมยก็คงเนื่องจากการขโมยวัวของอพอลโลนั่นเอง
     สิ่งที่น่าแปลกประการหนึ่งในตัวเฮอร์มีสก็คือ แม้ว่าจะเป็นโอรสของซูสเทพบดีกับนางไมอา ซึ่งเป็นอนุ แต่ทว่าทรงเป็นโอรสองค์เดียวของซูสที่ราชินีขี้หึงเทพีฮีร่าไม่เกลียดชัง กับเรียกหาให้เฮอร์มีสอยู่ใกล้ๆ เสมอ



อาเธนา (Athena)

     10. อาเธนา(Athena) เทพีแห่งสงคราม ความเฉลียวฉลาด และศิลปศาสตร์ของกรีกเมื่อเธอเกิดโดยโผล่ออกมาจากศรีษะของซูส ในชุดเกราะพร้อมรบ พระองค์พำนักอยู่ ณ อะโคพลิสแห่งเอเธนส์ 
     อาเธน่า หรือ มิเนอร์(Minerva) ของโรมัน เป็นเทพีประจำกรุงเอเธนส์ สวมเกราะและมีโล่ Aegis ที่ทำด้วยหนังแพะและมีหัวเมดูซ่าอยู่ตรงกลาง รักษาพรหมจรรย์ไม่แต่งงานกับใคร มีอารมณ์รุนแรงแต่ฉลาด มีสัญลักษณ์ คือ ต้นมะกอก น้ำ และนกฮูก เป็นธิดาของซูสกับมีธิส
     ขณะที่นางมีธิสกำลังตั้งครรภ์ ครั้งหนึ่งซูสได้รับคำทำนายจากจีอาว่า โอรสธิดาที่ประสูติแต่มเหสีเจ้าปัญญานาม มีธิส นั้นจะมาโค่นบัลลังก์ของพระองค์ ซูสจึงแก้ปัญหาด้วยการจับเอามีธิสซึ่งทรงตั้งครรภ์แก่นั้นกลืนไปในท้อง แต่เวลาไม่นานนักเทพซูสเกิดอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรงขึ้นมา จึงมีเทวโองการสั่งให้เรียกประชุมเทพทั้งปวงบนเขาโอลิมปัส ให้ช่วยกันหาทางบำบัดเยียวยา แต่ก็ไม่มีใครสามารถหาทางแก้ได้ ซูสไม่อาจทนความเจ็บปวดต่อไปได้ ในที่สุดจึงมีเทวบัญชาสั่งโอรสองค์หนึ่ง คือ เฮฟเฟสตุส(Hephaestus) หรือ วัลแคน(Vulcan) ให้ใช้ขวานผ่าศรีษะออก เทพเฮฟเฟสตุสปฏิบัติตาม เอาขวานจามลงไปยังไม่ทันเศียรซูสจะแยกดี เทพีอาเธนาก็ผุดขึ้นมาจากเศียรเทพบิดา ในลักษณะเจริญวัยเต็มที่ แต่งฉลององค์หุ้มเกราะแวววาวพร้อมสรรพถือหอกเป็นอาวุธ และประกาศชัยชนะเป็นลำนำกัมปนาท เป็นที่พิศวงหวั่นหวาดแก่ทวยเทพเป็นที่สุด พร้อมกันนั้นทั่วพื้นพสุธาและมหาสมุทรก็บังเกิดอาการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
     ภายหลังการอุบัติของอาเธนาไม่นาน มีหัวหน้าชนชาวฟีนิเซียคนหนึ่งชื่อว่า ซีครอบ(Cecrop) พาบริวารอพยพเข้าไปในประเทศกรีกเลือกได้ชัยภูมิอันตระการตาแห่งหนึ่งในแคว้นอัตติกา(Attica) ตั้งภูมิลำเนาก่อสร้างบ้านเรือนขึ้นมาเป็นนครอันสวยงามนครหนึ่ง เทพทั้งปวงเฝ้าดูงานสร้างเมืองนี้ด้วยความเลื่อมใสยิ่ง ในที่สุดเมื่อเห็นว่าเมืองมีเค้าจะกลายเป็นนครอันน่าอยู่ขึ้นมาแล้ว เทพแต่ละองค์ก็แสดงความปรารถนาใคร่จะได้เอกสิทธิ์ประสาทชื่อนคร จึงประชุมกันถึงเรื่องนี้ เมื่อมีการอภิปรายโต้แย้งกันพอสมควรแล้ว เทพส่วนใหญ่ในที่ประชุมก็พากันยอมสละสิทธิ์ คงเหลือแต่เทพโพไซดอนและเทพีอาเธนา 2 พระองค์เท่านั้นที่ยังแก่งแย่งอยู่
     เพื่อยุติปัญหาว่าใครควรจะได้เอกสิทธิ์ประสาทชื่อนคร เทพซูสไม่พึงประสงค์จะชี้ขาดโดยอำนาจตุลาการที่พระองค์จะพึงใช้ได้ ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่ครหาว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พระองค์จึงมีเทวโองการว่านครนั้นพึงอยู่ในความคุ้มครองของเทพหรือเทพีซึ่งสามารถเนรมิตของที่มีประโยชน์ที่สุดให้มนุษย์ใช้ได้ และมอบหน้าที่ตัดสินชี้ขาดให้แก่ที่ประชุม
     เทพโพไซดอนเป็นฝ่ายเนรมิตก่อน ยกตรีศูลคู่หัตถ์ขึ้นกระแทกลงกับพื้น บันดาลให้มีม้าลำยองตัวหนึ่งผุดขึ้นท่ามกลางเสียงแสดงความพิศวงและชื่นชมของเหล่าเทพ
     เมื่อเทพผู้เนรมิตม้า อธิบายคุณประโยชน์ของม้าให้เป็นที่ตระหนักแก่เทพทั้งปวงแล้ว เทพต่างองค์ต่างก็คิดเห็นว่า เทพีอาเธนาคงไม่สามารถเอาชนะโพไซดอนเสียเป็นแน่แล้ว ถึงกับพากันแย้มสรวลด้วยเสียงอันดังแกมเย้ยหยันเอาเสียด้วย เมื่อเจ้าแม่อาเธนาเนรมิตต้นมะกอกต้นหนึ่งขึ้นมาแต่ครั้นเจ้าแม่อธิบายถึงคุณประโยชน์ของต้นมะกอก ที่มนุษย์เอาไปใช้ได้นานัปการ นับตั้งแต่ใช้เนื้อไม้ ผล กิ่งก้าน ไปจนถึงใบ กับซ้ำว่ามะกอกยังเป็นเครื่องหมายถึงสันติภาพและความรุ่งเรืองวัฒนาอีกด้วย และเพราะฉะนั้นจึงเป็นที่พึงประสงค์ยิ่งกว่าม้าซึ่งเป็นเครื่องหมายของสงคราม ดังนี้ มวลเทพก็เห็นพ้องต้องกันว่า ของที่เจ้าแม่อาเธนาเนรมิตมีประโยชน์กว่า จึงลงมติตัดสินให้อาเธนาเป็นฝ่ายชนะ
     เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงชัยชนะครั้งนี้ เทพีอาเธนาได้ประสาทชื่อนครนั้นตามนามของตัวเองว่า เอเธนส์(Athens) และสืบจากนั้นมาชาวกรุงเอเธนส์ก็นับถือบูชาในฐานะเทพีผู้ปกครองนครของเขาอย่างแน่นแฟ้น
     ตามที่เกิดขึ้นมานั้น เห็นได้ว่าเรื่องนี้ใช่จะแสดงตำนานที่มาของชื่อกรุงเอเธนส์เท่านั้นไม่ หากยังเป็นตำนานกำเนิดของม้าในเทพปกรณัมกรีก และเป็นต้นเรื่องของการที่ชาวตะวันตกถือว่า ช่อมะกอกเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพสืบๆ กันมาจนตราบทุกวันนี้




อะโพรไดท์ (Aphrodite)

     11. อะโฟรไดท์(Aphrodite) เทพีแห่งความรักและความงามเป็นบุตรีของซูสกับไดโอเน่(Dione) บางตำราว่าเกิดจากฟองคลื่น เนื่องจากพระนางเป็นเทพีที่มีความงดงามมาก สามารถสะกดสายตาชายได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าเทพด้วยกัน พระนางจึงเป็นเทพีที่มีเพศสัมพันธ์มากที่สุดองค์หนึ่ง
     สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของพระนาง ได้แก่ นกกระจอก นกนางแอ่น ห่าน และเต่า ส่วนดอกไม้และผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระนาง ได้แก่ กุหลาบไมร์เทิล(Myrtle) และแอปเปิล กล่าวกันว่าเป็นเทพีผู้คุ้มครองเหล่าโสเภณีด้วย
     อะโฟรไดท์ หรือที่ชาวโรมันเรียก วีนัส(Venus) เป็นเทพเจ้ากรีกแห่งความรัก ความปรารถนา และความงาม ชื่ออื่นๆ ที่เรียกคือ ไคพริส(Kypris) ไซธีเรีย(Cytherea) ตามชื่อสถานที่ ไซปรัสและไซธีรา ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เกิดของอะโฟรไดท์



เฮฟเฟสตุส (Hephaestus)

     12. เฮฟเฟสตุส(Hephaestus) เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง เป็นบุตรของซูสกับฮีร่า(บางตำราว่าเป็นบุตรของฮีร่าผู้เดียว) พระองค์เป็นเทพที่พิการและอัปลักษณ์ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ถูกซูสโยนลงจากสวรรค์เมื่อครั้งเข้าไปช่วยฮีร่าจากการทะเลาะกับซูส
     เฮฟเฟสตุส หรือในชื่อลาตินว่า วัลคานัส(Valcanus) เป็นที่มาของคำว่า ภูเขาไฟ(Valcano) เทพแห่งไฟและการตีเหล็ก เป็นช่างตีเหล็กผู้ทำอาวุธให้เทพเจ้าและสร้างวิหารต่างๆ ให้เทพเจ้าบนเขาโอลิมปัส อาศัยอยู่ใต้ภูเขาไฟเอทนา เป็นผู้สร้างนางแพนโดรา มีอะโฟรไดท์เป็นชายา และมีบุตรคือ คิวปิด(Cupid)
     เนื่องด้วยเหตุดังกล่าว พระองค์จึงถูกพระบิดาและมารดาทอดทิ้งเฮฟเฟสตุสใช้เวลาช่วง 10 ปีแรกอยู่ในทะเล และได้สร้างโรงหล่อไว้ใต้ภูเขาเอทนา มีไซคลอปส์เป็นคนงาน โดยสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้นมี ดังนี้ อาวุธของอาร์คีลิส(Achilles) และเอนีอัส(Aeneas) คทาของอกามีนอน(Agamemnon) สร้อยคอของฮาร์โมเนีย(Harmonia) ซึ่งผู้สวมใส่จะเคราะห์ร้าย โล่ของเฮราคลิส(Heracles)



นี่เป็นเพียง 1 ในส่วนของตำนาน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดอ้างอิงมาจาก หนังสือที่ชื่อว่า "สัตว์ประหลาดในเทพนิืยายกรีก-โรมัน" ซี่งเรียบเรียงโดย DR.KNOW ซึ่งหากอยากรู้ความเป็นมาเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากร้านหนังสือทั่วไป

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สัตว์ในเทพนิยายกรีก-โรมัน

     อาจว่าได้ว่่าสัตว์ในเทพนิยายนั้นด้านหนึ่งเป็นเรื่องจริง และอีกด้านหนึ่งเป็นเรื่องแต่งจินตนาการตามความคิด ความเห็นและตามสภาพแวดล้อมของแต่ละยุคสมัยที่ผู้คนพบพาน แล้วบอกเล่าสืบต่อกันมา โดยเฉพาะการบอกเล่าด้วยปาำกเปล่านั้นก็ยิ่งเป็นการเพิ่มเติมจินตนาการของผู้เล่ากัน จนกลายเป็นเกินจริงหรือเหนือจริงมากยึ่งขึ้นตามแต่การสืบทอด...

     กระนั้นสุดท้ายแล้วเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นบทพิสูจน์ถึงคุณค่าและความหมายในเชิงนามธรรมของเรื่องเล่าด้วยกันแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าในเทพปกรณัมของชาติใดในโลก แน่นอนที่สุดว่ามักจะปรากฏเรื่องราวของบรรดาสัตว์ประหลาดที่มาในรูปของคน หรือสัตว์แทบทั้งสิ้น
     ส่วนหนึ่งมองกันว่า สาเหตุที่ทำให้คนเราจิตนาการเรื่องราวขึ้นมานั้น ก็เพราะพื้นฐานของการไม่รู้โดยเฉพาะในอดีตที่รับรู้และเข้าในทางชีววิทยายังมีน้อยและทั้งการเรียนรู้ด้านภูมิศาสตร์ยังไม่กว้างขวาง ทำให้จินตนาการความแปลกและแตกต่างนั้นออกไปไกลเสียจนบางครั้งยากที่จะเข้าใจได้
     กระนั้นสิ่งที่พิสูจน์และยอมรับกันแล้วก็คือ แท้จริงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับบรรดาเทพและต้องมีสัตว์ประหลาดนั้น มักจะสามารถตีความได้ตามโครงเรื่องที่จะต้องมีการแบ่งแยกคู่ตรงข้ามเอาไว้อย่างชัดเจน
     เป็นคู่ตรงข้ามที่เป็นความดีกับความชั่ว เทพกับมาร ขาวกับดำหรือคนกับสัตว์
     

    ในที่นี้เรามาดูเรื่องราวของสัีตว์ในตำนานกรีก-โรมันซึ่งมีอยู่มากมายเกินกว่าจะสามารถรวบรวมมานำเสนอได้ กระนั้นเท่าที่นำมานี้ก็นับว่าครอบคลุมเรื่องราวและบทบาทของสัตว์ในตำนานเหล่านั้นแทบทั้งสิ้นแล้ว

ไซคลอปส์ (Cyclops) 

     ชื่อไซคลอปส์ถูกใช้ระบุถึงยักษ์ตาเดียวคือมีตาเดียวอยู่กลางใบหน้า มีอยู่ 2 ชนิดโดยชนิดแรกเป็นลูกของเจ้านภา "อูรานอส" หรือยูเรนัสและพระแม่ธรณี "จีอา" มีด้วยกัน 3 ตน ชื่อว่า บรอนทีส สเทอโรพีส และอาจีส มักจะถือค้อนอันใหญ่ มีพลังแห่งสายฟ้า และมีฝีมือในด้านช่างเหล็กด้วยรูปลักษณ์อันน่าเกลียดก็เลยถูกบิดาโยนเข้าไปในทาร์ทะรัส จนกระทั่ง เทพซูส มาปลดปล่อยออกมาหลังจากที่โค่น โครนัส ผู้เป็นบิดา และซูสต้องทำสงครามกับเหล่าไทแทน จึงได้ไปปลดปล่อยบรรดาไซคลอปส์ทั้ง 3 ออกมาซึ่งไซคลอปส์ได้ตอบแทนโดยตีอาวุธต่างๆ ให้เหล่าเทพ 3 พี่น้อง คือ สายฟ้าให้ซูส ตรีศูลให้โพไซดอน หมวกล่องหนให้ฮาเดส
     นอกจากนั้น ยังทำเกราะป้องกันในการสงครามให้กับเทพอื่นๆ ซึ่งต่อมาเหล่าไซคลอปส์ได้เป็นลูกมือของเทพแห่งช่างเหล็ก เฮฟเฟสตุส จนกระทั่งถูก อพอลโล สังหารเพื่อล้างแค้นให้แอสคิวลาปิอัสที่ถูกซูสใช้สายฟ้าฟาด
     ไซคลอปส์กลุ่มที่สอง เป็นลูกหลานของโพไซดอนกับพรายน้ำโทซา ไซคลอปส์กลุ่มนี้กินมนุษย์เป็นอาหาร โดยมีบทบาทในเรื่อง โอดิสซี นอกจากไซคลอปส์ 3 ตนนี้ก็มีตัวอื่นอีกหลายตัว ที่เด่นๆ คือ โพลีฟีมัส ตัวโอดิสซิอุสแล่นเรือหลงไปพบระหว่างทางกลับบ้านจากสงครามกรุงทรอย แล้วโอดิสซิอุสก็ทำให้โพลีฟีมัสตาบอด
     ในวัฒนธรรมร่วมสมัย ไซคลอปส์ได้ัรับความนิยมมากเหมือนกัน เช่น ในการ์ตูน หรือ ในเกมส์ ฯลฯ
     

ไทฟอน (Typhon) 

     อสูรกายไทฟอน (Typhon) เป็นลูกของจีอา พระแม่ธรณี ซึ่งพระนางให้กำเนิดภายหลังที่โครนัสถูกโค่นบัลลังก์แล้ว เพื่อให้ไปสู้รบกับซูสเทพเจ้าแห่งสายฟ้าผู้ยิ่งใหญ่
     ไทฟอนเป็นอสูรกายที่น่าเกลียดน่ากลัว มันมีหัวถึงร้อยหัวและหัวของมันสูงจนสามารถสัมผัสกับดวงดาวในท้องฟ้า น้ำตาของมันที่ไหลออกมามีพิษ และยังสามารถพ่นลาวาหรือหินหลอมเหลวอันร้อนแรงออกมาจากปากของมันได้อีกด้วย ลมหายใจของมันคล้ายเสียงขู่ฟ่อๆ ของงูร้อยตัวรวมกัน และเสียงคำรามดังคล้ายกับเสียงสิงโตสักร้อยตัว
     แต่บางตำนานบอกว่า ไทฟอนนั้นมีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ส่วนท่อนล่างนั้นเป็นงูยักษ์ที่มีขนาดยาวนับร้อยไมล์ มีหัวเป็นลาขนาดใหญ่และมีปีกเหมือนอินทรี นอกจากนั้นนิ้วมือยังเป็นงูอีกต่างหากเวลามันเคลื่อนตัวไปไหนจะเกิดลมพายุหมุนขนาดมหึมา เพราะอำนาจอิทธิฤทธิ์ของอสูรตัวนี้ ต่อมาคำว่าไทฟอนกลายเป็น ไทฟูน(Typhoon) หรือไต้ฝุ่่นหมายถึงพายุหมุนที่เรารู้จักกันดี
     ไทฟอนเคยต่อสู้กับซูสอย่างฮึกเหิม มันยกภูเขาทั้งลูกโยนใส่เทพเจ้าทั้งหลายที่มาร่วมกันกำจัดมัน ตอนแรกฝ่ายซูสต้องแตกกระเจิง ถอยหนีไปตั้งหลัก และรวมตัวกันกลับมาราวีใหม่ การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือดจนพสุธาถล่มทลายแทบไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ในโลกยุคนั้น
     ไทฟอนมีโล่อยู่ 1 อัน ซึ่งแม้แต่ซูสก็ยังทำลายไม่ได้
     ขณะที่อสูรไทฟอนกำลังยกภูเขาเอทนา(Aetna) อันมหึมาหมายทุ่มใส่เหล่าเทพเจ้าทั้งหลาย ซูสก็จับสายฟ้าทั้งร้อยสายฟาดเปรี้ยงลงไปที่ภูเขาลูกนั้น ผลปรากฏว่าภูเขาขนาดมหึมาถึงกัีบถล่มลงมาฝังร่างของไทฟอนไว้
     อสูรไทฟอนถึงจะไม่ตายแต่ก็โดนทับอยู่เช่นนั้นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และยังคงพ่นลาวาหรือหินหลอมเหลวออกมาจากยอดภูเขาไฟที่ทับมันไว้

อีคิดนา (Echidna)

     อีคิดนา (Echidna) ในตำนานของกรีกนั้นเป็นสตรีที่งดงาม แต่ท่อนล่างเป็นงูขนาดยักษ์ เป็นภรรยาของไทฟอน อีคิดนาถูกยักษ์ร้อยตาอาร์กัส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของฮีร่าสังหาร
     นางเป็นอสูรกายที่ไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในจำนวนอสูรกายที่ออกอาละวาดในยุคตำนานเทพกรีก แต่สาเหตุที่ทำให้ชื่อเสียงของอสูรกายตนนี้เป็นที่ปรากฏได้หรือได้รับการกล่าวถึง ก็เพราะนางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดอสูรกายที่โด่งดังถึง 6 ตัว ได้แก่ มังกรสองร้อยตาลาดอน(Ladon) สฟิงซ์(Sphinx)อสูรคนครึ่งนก ไฮดรา(Hidra)อสูรกาย 9 หัว อสูรกายราชสีห์นีเมียน(Nemean) ไคเมร่า(Chimera)อสูรซี่งมีหัวเป็นสิงโต แพะ และงู เซอร์เบอรัส(Cerberus)สุนัข 3 หัว

เพกาซัส (Pegasus)

     เพกาซัส หรือ เปกาซอส หมายถึง แข็งแรง เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก มีลักษณะเป็นม้าร่างกำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกอันกว้างสง่างามเหมือนนกพิราบ
     ประวัติของเพกาซัสตัวนี้ค่อนข้างจะน่าขนลุกอยู่สักหน่อย เรื่องเริ่มมาจากนางการ์กอนเมดูซ่า ถูกวีรบุรุษเพอร์ซีอุสฟันคอขาดตาย ในขณะที่นางสิ้นใจตายนั้นมีร่างของม้ากำยำพ่วงพี พร้อมด้วยปีกอันกว้างสง่างามกระโจนออกมาจากลำคอของนาง ม้าตัวนั้นคือเพกาซัสนั่นเอง
     เมื่อออกมาแ้ล้วมันก็แผลงฤทธิ์ จนไม่มีใครสามารถปราบได้ ทั้งที่เพกาซัสเป็นความหวังของใครหลายๆคน นอกจากความเก่งกล้าในการวิ่งและบินแล้ว เพกาซัสยังมีความสามารถอีกอย่างคือตอนที่มันเกิดมาใหม่ๆและออกวิ่งอย่างคึกคะนองนั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้าที่มันวิ่งก่อให้เกิดน้ำพุสวยงามที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนักหนา คือ น้ำพุฮิปโปครีนี (Hippocrene) ที่รู้จักในวรรณคดีกรีกโบราณ

กริฟฟอน (Griffon)

     กริฟฟอน หรือ กริฟฟิน (Griffin,Gryphin,Griffon,Gryphon) คือสัตว์ในเทพนิยายเป็นครึ่งนกอินทรี ครึ่งสิงโต โดยส่วนหัว ขาคู่หน้าและปีกเป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต และมีหางเป็นงู บางจำพวกมีหางเป็นสิงโต ขนบนหลังเป็นสีดำ ขนที่อยู่ข้างหน้าเป็นสีแดง ส่วนขนปีกเป็นสีขาว อาศัยอยู่ในถ้ำตามภูเขา
     ในตำนานกรีก กริฟฟอนเป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์เหมืองทองคำของดินแดนไฮเปอร์โบเรียน ซึ่งอยู่ทางขั้วโลกเหนือมีแสงอาทิตย์และความอุดมสมบูรณ์ตลอดกาล เป็นรูปจำแลงของเทพีเนเมซิส เทพีแห่งความพยาบาท ซึ่งทำหน้าที่หมุนวงล้อแห่งโชคชะตา นอกจากนี้ยังเป็นผู้ลากรถม้าของพระอาทิตย์ (เทพอพอลโล) อีกด้วย
     ปัจจุบัีนสามารถพบเห็นกริฟฟอนได้ทั่วไปจากงานศิลปะในหลายๆ วัฒนธรรม และพบได้ในตราประจำตระกูล รูปสัตว์ต่างๆ ประติมากรรมเก่าแก่ นิทานและในตำนานต่างๆ ทั่วโลก

เซนทอร์ (Centaurs)

     เซนทอร์ นับเป็นหนึ่งในสัตว์ในตำนานที่น่าสนใจด้วยรูปลักษณ์พิเศษคือ มีท่อนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย ขณะที่ท่อนล่างกลายเป็นม้า ที่สำคัญมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แสดงถึงความแข็งแรงแห่งอาชาไนย แหล่งอาศัยของเซนทอร์นั้นว่ากันว่า อาศัยอยู่แถบภูเขาของอาคาเดีย แคว้นเทสสาลี ในกรีซ
     ภายหลังพวกเขาถูกขับไล่ออกจากแคว้นเทสสาลี เนื่องจากไปก่อเรื่องเลวทรามในงานอภิเษกสมรสของพระราชาพิรีธุส โดยไปลวนลามข่มขืนแขกสาวๆ ในงานและพยายามลักพาตัวเจ้าสาว จนเกิดการทะเลาะวิวาทนองเลือดไปทั่ว
     แท้จริงเซนทอร์ที่ปรากฏในตำนานแบ่งออกเป็น 2 ตระกูล หนึ่งคือ ตระกูลที่ถือกำเนิดจากอิซิออน อันธพาลแห่งสวรรค์กับนางเนฟิลี พวกนี้จะมีพละกำลัีงมากชอบดื่มไวน์กับไล่คว้าผู้หญิงที่สำคัญมักทะเลาะกันเวลาเมา ทำให้เซนทอร์พวกนี้ถูกมองว่าเป็นพวกขี้เมาและไม่กลัวใครทั้งสิ้น และยังทำให้ชื่อเสียงของเซนทอร์เสียไปด้วย
     อีกตระกูลหนึ่งเป็นลูกของโครนัสซึ่งแต่งงานกับนางอัปสรน้ำ มีลูกที่ถือว่าเป็นเซนทอร์ที่ได้รับการยกย่องอย่างมากคือ ไครอน(Chiron)
     ไครอน ได้รับการดูแลและอบรมสั่งสอนโดยเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อพอลโล และเทพธิดาแห่งดวงจันทร์อาร์ทีมิสหรือไดอาน่า ไครอน ใจดี สุภาพ และเฉลียวฉลาด ในขณะที่เซนทอร์อื่นนั้นโหดร้ายป่าเถื่อนไม่รู้จักคิด ซึ่งด้วยทักษะความสามารถและความเฉลียวฉลาดของไครอนรู้จักกันไปทั่วนั้น ก็ทำให้ราชาจากทั่วทุกสารทิศนั้นต่างส่งบุตรมาร่ำเรียนกับไครอน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เฮราคลิสหรือเฮอร์คิวลิส


เมดูซ่า (Medusa)

     ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่าเป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผู้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่าเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก
     เมดูซ่า เป็นหนึ่งในลูกสาวทั้งสามของมีธิส ซึ่งมีธิสเป็นเจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆ ได้มากมาย แต่เดิมลูกทั้ง 3 ของมีธิสเป็นคนที่สวยงามมาก แต่แล้ววันหนึ่งมีธิสถูกเทพซูสข่มขืนและกลืนลงท้องไป และซูสจึงได้ใช้สติปัญญาและความสามารถทางการแปลงร่างของมีธิสเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง
     พลังอำนาจนั้นทำให้เทพซูสยิ่งใหญ่เหนือเทพทั้งปวง และต่อมาเทพธิดาอาเธนา ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พลังของมีธิสทะลักออกมาทางหน้าผากของซูส
     ตั้งแต่เกิดมา อาเธนาก็ถือว่าเมดูซ่าเป็นศัตรูคู่แค้นที่จักต้องพิฆาตให้ดับสิ้น เพราะในบรรดาพี่น้องมีแต่เมดูซ่าผู้เดียวที่เป็นมนุษย์ พี่สาวชาวกอร์กอนทั้งสองร่วมท้องแม่ของเธอมีสถานะเป็นเทพจึงฆ่าไม่ตาย ในบรรดาลูกแม่เดียวกันทั้งหมด อาเธนาจึงหันมาหาทางทำลายเมดูซ่าแต่ผู้เดียว
     วันหนึ่งในวิหารเอเธนา ที่ชาวกรีกสร้างไว้บูชาสักการะแต่ละเทพเป็นแห่งๆ เทพอาเธนาเป็นเทพอุปถัมภ์ของสาวพรหมจารีที่สตรีพรหมจารีชาวมนุษย์มักไปบูชา สาวงามเมดูซ่าที่มีชายมากหลายหมายปองก็ไปบูชาเทพอาเธนา แล้วเทพโพโซดอนก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า อาเธนาเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่าลบหลู่อาเธนาในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาปเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาปให้ผมสวยงามของเธอเป็นงูเต็มหัว
     เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแ้ค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาปคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนหนึ่งในตำนานกรีก


ไซเรน (Sirens)

     เป็นสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งทะเลที่เป็นชายฝั่งแบบฟยอร์ด ไซเรนมีรูปร่างลักษณะเป็นเงือก บางตำราว่าตัวเป็นนกแต่หัวเป็นคน ไซเรนจะชอบร้องเพลง เสียงของไซเรนไพเราะเพราะพริ้งจนทำให้คนที่เดินเรือผ่านมายังบริเวณใกล้เคียงที่เซเรนอาศัยอยู่หลงทางเข้ามาตามเสียงเพลงของไซเรน และเรือที่เข้ามาจะหลงใหลในเสียงเพลงยิ่งขึ้น ทำให้ออกตามหาแล้วตกเป็นเหยื่อของไซเรน
     ชื่อของเหล่าไซเรนนั้น เป็นที่มาของคำศัพท์หลายคำ เช่น ไซเรนหรือหวอของรถพยาบาล รถตำรวจ รถดับเพลิง และยังหมายถึงหญิงที่มีเสน่ห์ตรึงใจชายเป็นพิเศษ หรือนักร้องหญิงที่มีเสียงไพเราะมาก หรือเป็นคุณศัพท์หมายถึง มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ทำให้หลงใหล เป็นคำกริยา แปลว่าล่อให้หลง ยั่วยวน และยังเป็นชื่อปลาชนิดหนึ่งด้วย



มนุษย์หมาป่า (Werewolf)

     ในส่วนของตำนานกรีกนั้น ก็ปรากฏเรื่องของมนุษย์หมาป่าอยู่เช่นกัน เรื่องของเรื่องเริ่มต้นจากเรื่องราวที่เมืองอาร์คาเดีย(Acadia) ไลคาอัน ผู้เป็นบุตรของพีลัสคัส และ มีลีโบอี ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของอาร์คาเดียมีบุตรรวมห้าสิบคนและลูกสาวหนึ่งคน
     ไลคาอัน มีลักษณะนิสัยผิดจากคนอื่นๆ กล่าวคือพระองค์พิศมัยเนื้อหนังมังสามนุษย์เป้นอาหาร ความโหดร้ายป่าเถื่อนเลื่องลือไปเข้าหูเทพซูส เพื่อให้ได้รับรู้ข้อเท็จจริงจึงแปลงกายเป็นนักเดินทางร่อนเร่ไปขอพักอาศัยในที่พำนักของกษัตริย์
     เมื่อไปถึงที่หมาย เหล่าข้าราชบริพารของไลคาอันต่างก็รู้ตัวตนของมหาเทพและให้ความเคารพ กระนั้นไลคาอันก็แกล้งไม่รู้ไม่เห็นแถมวางแผนแอบวางยาสังหารเทพด้วยการให้เสวยเนื้อมนุษย์ในค่ำคืนนั้นเอง
     แต่ซูสก็รู้ได้ ด้วยความพิโรธจึงจัดการกับไลคาอันและลูกๆ ทุกคนด้วยการสาปให้กลายเป็นหมาป่า ตำนานมนุษย์หมาป่าที่เก่าแก่ที่สุดก็ได้เริ่มต้นตรงนี้นี่เอง
     หลังจากที่ไลคาอันใช้ชีวิตเป็นหัวหน้าหมาป่าของฝูงหมาป่าลูกๆนั้น ในตอนท้ายซูสยังโกรธไม่เลิกรา ร่ายมนต์ให้ฝนตกเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่(Deluge) พัดพามนุษย์ตายไปมากมาย นับได้ว่าไลคาอันจัดเป็นหนึ่งในมนุษย์หมาป่าที่สร้างผลพวงหายนะแก่มนุษยชาติได้ยิ่งใหญ่ตัวหนึ่งของโลก


นิมฟ์ (Nymph)

     ตามตำนานกรีก นิมฟ์คือสตรีที่เป็นร่างตัวแทนของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นร่างที่ยึดติดกับสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งหรือเป็นผู้ติดตามของเหล่าทวยเทพ ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะตกเป็นเป้าหมายของเหล่าเซนทอร์ตัณหาจัด
     รูปลักษณ์ของนิมฟ์นั้น มักปรากฏในภาพของหญิงสาวเปลือยกายบริสุทธิ์และไร้เดียงสา แต่เมื่อตกใจก็จะแปลงร่างกลับไปเป็นต้นแบบธรรมชาติของตัวเองทันที อย่างเช่นเป็นต้นไม้ เป็นต้น บ้างเรียกพวกเธอว่านางพรายและมักตายไปพร้อมกับต้นไม้ที่เธอสิงสถิตอยู่
     วอลเตอร์ เบอร์เคิร์ต (Walter Burkert) กล่าวว่า "ความคิดที่ว่าแม่น้ำคือเทพเจ้า และน้ำพุคือนิมฟ์นั้น ไม่ได้เป็นแค่ความนึกคิดของกวีหากแต่ยังเป็นถึงความเชื่อและพิธีกรรมอีกด้วย การบูชาเทพเจ้าเหล่านี้ถูกจำกัดอยู่เพียงสถานที่หนึ่งที่ใดที่พวกเขาไม่สามารถแยกออกจากสถานที่แห่งนั้นได้" นิมฟ์นับเป็นบุคคลาธิษฐานของการสรรสร้างของธรรมชาติซึ่งบ่อยครั้งมักใช้เป็นสัญลักษณ์ของน้ำพุ


อาควิล่า (Aquila)

     ในตำนานนั้น อาควิล่า คือนกอินทรีผู้นำสายฟ้าไปฆ่ายักษ์ไทแทนพร้อมกันเขาก็คือผู้นำพาเด็กหนุ่มผู้อยู่ข้างกายเทพซูสทำหน้าที่รินน้ำทิพย์ให้กับบรรดาเทพโอลิมปัส
     ในตอนที่เกิดสงครามสิบปีระหว่างเทพซูสกับยักษ์ไทแทนนั้นอาควิล่า อินทรีแห่งแสงสว่างได้เป็นพวกของซูส โดยมีหน้าที่ในการนำสายฟ้าลงไปฆ่าพวกของยักษ์ไทแทน ซึ่งด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี จึงทำให้ถูกนำไปไว้เป็นกลุ่มดาวนกอินทรีบนท้องฟ้าในที่สุด
     อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อครั้งที่เหล่าเทพต้องการตัวเด็กรับใช้ที่ทำหน้าที่คอยรินน้ำทิพย์ให้แก่เหล่าเทพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งผู้ที่เหมาะสมต่อหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ต้องเป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่สุดบนโลกมนุษย์นี้ ดังนั้นเทพซูสจึกเสกอาควิลานกอินทรีผู้ซื่อสัตย์ขึ้นมา และมอบหน้าที่ดังกล่าวนี้ให้แก่อาควิล่าไป
     อาควิล่าได้บินไปทั่วทั้งโลก และในวันหนึ่งก็ได้พบกับเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งผู้ที่กำลังทำหน้าที่อยู่บนเขาสูง เด็กหนุ่มคนนี้มีคุณสมบัติดังที่เหล่าเทพต้องการ ดังนั้นอาควิล่าจึงโฉบลงไป และก็นำเอาตัวเด็กหนุ่มผู้มีนามว่า กานีเมดี้ (Ganymede) นี้มา ซึ่งทั้งที่ๆ อาควิล่าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอันยาวไกล แต่ก็ยังเร่งความเร็วบินขึ้นไปบนฟ้า และนำตัวกานีเมดี้ ไปให้กับเทพซูสจนได้ ซูสพอใจกับผู้ที่อาควิล่าเลือกมาเป็นผู้รินน้ำทิพย์ให้แก่เหล่าเทพเจ้ามาก ดังนั้นเมื่ออาควิล่าเสียชีวิต ซูสก็ได้นำขึ้นไปเป็นกลุ่มดาวนกอินทรีบนท้องฟ้า


ฟอนส์ (Fauns)

     ฟอนส์เป็นเทพที่มีท่อนล่างและหูเป็นกวาง มีผิวเรียบ ที่บ่ามีขนอ่อนนุ่ม ใบหน้าก็เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเอาการ
     เหล่าบรรดาฟอนส์นั้นแม้จะถูกเรียกว่าเป็นภูต แต่มีบรรพบุรุษเป็นเทพ ชื่อ เทพเฟานัส ดังนั้นจึงมีพรแห่งความอุดมทางการเกษตรไปในตัว 
     กล่าวกันว่าไม่มีมนุษย์คนไหนรังเกียจฟอนส์ เพราะฟอนส์สุภาพและเป็นมิตรแถมนิยมความสงบ
     เทพเฟานัสนี้ได้ทรงประดิษฐ์คิดค้นขลุ่ยที่มีชื่อว่า ชอม ซึ่งพวกฟอนส์ทุกตนจะมีความเชี่ยวชาญในการเป่าขลุ่ยชนิดนี้ ตัวเพลงขลุ่ยที่เป่าออกมาจะสะกดนางอัปสร นางไม้จำพวกนิมฟ์ให้ออกมาเริงระบำตามเสียงขลุ่ย ซึ่งเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก แต่การเริงระบำนี้มักได้ยินไปถึงพวกเซนทอร์ด้วย ซึ่งจะพายกโขยงมาคว้าตัวนางอัปสรไป ในขณะที่ฟอนส์ผู้รักสงบ ตกใจกระเจิงเข้าป่าแบบช่วยอะไรไม่ได้
 

ฮาร์ปี้ (Harpy)

     ฮาร์ปี้ เป็นสิ่งมีชีวิตตามตำนานกรีกซึ่งมีรูปกายเป็นมนุษย์ผู้หญิงมีท่อนล่างเป็นนกและมีปีก
     กล่าวกันว่า แต่เดิมฮาร์ปี้มีเพียงสองตนเท่านั้น คือ เอลโล และ โอโซพีเทส ฮาร์ปี้ทั้งสองเป็นพี่น้องกับเทพีไอริส
     ไอริสเป็นเทพีผู้ทำหน้าที่นำสารให้กับเหล่าเทพเจ้าต่างๆ เช่นเดียวกับเฮอร์มิส หากแต่เฮอร์มิสนั้นขึ้นตรงต่อเทพบดีซูส ในขณะที่ไอริสเป็นเทพีใต้บัญชาของฮีร่า เทพีไอริสยังมีปีกเป็นนกเช่นเดียวกับอีรอส และมักถูกกล่าวถึงในลักษณะของสาวน้อยมีปีก ถือคทานำสาร นอกจากนี้ ไอริสยังเป็นเทวีพรหมจรรย์ และถือเป็นเทพีแห่งสะพานสายรุ้งอีกด้่วย


บาซิลิสก์ (Basilisk)

     บาซิลิสก์ มีลักษณะคล้ายๆ งูที่มีมงกุฎสีทองเล็กๆ บนหัวไก่ ในยุคกลางมีผู้เชื่อว่ามันเป็นเพียงงูที่มีหัวเหมือนไก่ บางครั้งมีหัวเป็นคน บาซิลิสก์เกิดจากไข่ที่ออกมาจากพ่อไก่ระหว่างที่มีกลุ่มดาวสุนัขปรากฏบนท้องฟ้า และได้คางคกเป็นผู้กกไข่ให้ การมองบาซิลิสก์นั้นน่ากลัวสยดสยองมาก ถ้าใครก็ตามได้เพียงเห็นมันมองผ่าน แม้แต่ทางกระจกก็อาจตายได้ทันที เพราะความกลัว
     วิธีเดียวที่จะฆ่ามันได้ก็คือ ต้องถือกระจกไว้ข้างหน้าตัวมันก่อนที่มันจะมองผ่านมา แล้วเมื่อมันมองมาในกระจกนั้นมันก็จะเห็นเงาตัวเองในกระจกและตายทันที 
     ซึ่งชื่อ บาซิลิสก์ นี้ได้ถูกตั้งเป็นชื่อเรียกสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์ของกิ้งก่าจำพวกหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ มีหงอนบนหัว และสามารถวิ่งได้เร็วมากจนวิ่งบนน้ำได้ โดยกิ้งก่าจำพวกนี้มีชื่อสกุลว่า Basiliscus


มันติดอร์ (Manticore)

     มันติคอร์เป็นสัตว์กรีก หัวเป็นมนุษย์ ตัวเป็นสิงโต หางเหมือนแมงป่อง จะร้องเพลงไพเราะอ่อนหวานเวลากินเหยื่อ
     มันติคอร์ เป็นสัตว์ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างคนกับสัตว์มีฟันอันแหลมคม นิสัยเจ้าเล่ห์ มีหน้าเป็นคน ตัวเป็นสิงโต ชื่อของมันมาจากภาษาเปอร์เซีย คือ martikhora แปลว่า ผู้กินคน
     อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของมันไม่ใช่สัตว์ แต่กลับเป็นใบหน้าของมนุษย์ มีฟันบนสามแถว และฟันล่างอีกสามแถว เป็นฟันที่แหลมคมและใหญ่กว่าเขี้ยวของสุนัขล่าเนื้อ ใบหูของมันก็คล้ายกับของมนุษย์ เว้นแต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่าและมีขนหยาบ ตาของมันมีสีน้ำเงินเท่าคล้ายนัยน์ตามนุษย์ แต่เท้าและกรงเล็บของมันเหมือนของสิงโต ที่ปลายหางของมันคือหางของแมงป่องที่อาจจะมีความยาวเกินกว่า 18 นิ้ว ที่ปลายสุดของหางมีเหล็กไนที่สามารถต่อยคนถึงตายได้ทันที มันสามารถปล่อยเหล็กไนที่มีลักษณะเหมือนกับลูกศร และสามารถยิงไปได้ไกล เมื่อปล่อยเหล็กไนไปแล้วมันก็จะม้วนหางกลับ หากมันจะยิงเหล็กไนไปทิศตรงข้าม มันจะยืดหางออกไปจนสุดแทน สัตว์ที่ถูกเหล็กไนของมันติคอร์จะตายทันที แต่ช้างเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มันจะไม่ทำร้าย


มิโนทอร์ (Minotaur)

     มิโนทอร์ ตามเทพนิยายกรีก มีตัวเป็นคน หัวเป็นวัว เกิดอยู่ในคุกที่ไม่มีทางออกสร้างโดย แดดาลุส นักประดิษฐ์ ซึ่งได้รับคำสั่งจากราชาไมนอส (Minos) เป็นห้องโถงที่มีทางเข้าทางออกวกวนน่าเวียนหัว มีทั้งชั้นล่างและชั้นบนเป็นเขาวงกต (Labyrinth)
     เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อไมนอสพยายามที่จะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์กษัตริย์ของครีต โดยต้องชนะในชาวครีต เขาจึงอ้างกับชาวครีตว่าเทพเจ้าก็เห็นดีที่จะให้เขาได้เป็นราชาด้วย ซึ่งเทพเจ้าจะตอบรับคำขอทุกข้อจากเขา
     กระนั้นขาวเมืองก็ยังไม่มั่นใจจึงขอให้เขาขอต่อเทพโพไซดอนให้ประทานวัวพ่วงพีให้ขึ้นมาจากท้องทะเลให้ชาวเมืองได้ดู
     แม้ในใจจะรู้ว่าการกระทำนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อขึ้นหลังเสือแล้วก็จำเป็นต้องไปให้สิ้นทาง ว่าแล้วไมนอสกับชาวเมืองก็แห่กันไปยังชายทะเลเพื่อขอพรต่อเทพโพไซดอน ไมนอสเริ่มทำพิธีแร้วอธิษฐานขอพรพร้อมให้สัญญากับโพไซดอนเทพแห่งมหาสมุทรว่า จะฆ่าวัวตัวนั้นเป็นการบูชายัญเพื่อเป็นการสรรเสริญเกียรติแห่งโพไซดอนทันที
     ไมนอสใช้เวลาไม่นานสิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น จู่ๆ ก็ปรากฏท้องน้ำแยกออกแล้วมีวัวขาวพ่วงพีโผล่ออกมาจากท้องสมุทรตามคำขอ ส่งผลให้ไมนอสได้ก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ในบัดดล แต่ไมนอสกลับไม่ได้คำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเทพ ทั้งนี้เพราะว่าวัวขาวตัวนั้นสวยงามเสียจนเขาไม่อาจตัดใจฆ่ามันได้ ไมนอสนำวัวธรรมดามาบูชายัญแทน ส่งผลให้เทพโพไซดอนพิโรธ กระทั่งคิดจะแก้แค้นกับไมนอส
     นั้นคือโพไซดอนสาปให้ ปาซิฟาอี มเหสีของไมนอสหลงรักวัว
     ปาซิฟาอีที่ต้องคำสาป เธอเฝ้าทุ่มเทดูแลวัวของเทพเจ้า เฝ้าโอบกอดทะนุถนอมลูบไล้อย่างเสน่หายิ่ง เจ้าหล่อนถึงขนาดสั่งให้ตามตัว แดดาลุส นักประดิษฐ์มาที่เมืองครีตเพื่อให้ทำอะไรอย่างนึงที่ค่อนข้างน่าตระหนกสำหรับตัณหาของนาง เพราะปาซิฟาอีสั่งให้สร้างแม่วัวปลอมขึ้นเพื่อตบตาเจ้าวัวหนุ่ม โดยนางจะเข้าไปหมอบสวมรอยอยู่ในร่างแม่วัวปลอมตัวนี้ คอยให้วัวงามของโพไซดอนมาร่วมอภิรมย์กับนาง
     ได้ความแล้วหลังจากปาซิฟาอีร่วมอภิรมย์กับวัวหนุ่มได้ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ ครั้นครบกำหนดนางก็คลอดบุตรออกมาความลับที่ปิดบังไว้ก็แตก
     ไมนอสแทบกระอักเพราะความอับอาย พระองค์เพิ่งนึกได้ว่านี่คือการแก้แค้นของเจ้าสมุทร แม้ว่าอยากจะสังหารเจ้าเด็กปิศาจนี่ทิ้งเพียงไร ก็ทำไม่ได้เพราะเกรงว่าหากทำอะไรที่ขุ่นเคืองโพไซดอนซ้ำสอง คราวนี้อาจไม่พ้นความพินาศ จึงต้องขมขื่นเลี้ยงไว้
     โอรสวัวแห่งไมนอสนั้น เติบโตได้รวดเร็วมาก ไม่ช้าเขาเล็กๆ ของมันก็เติบโตวงกว้างแขนคนเหยียดออก และกลายเป้นสัตว์กระหายเลือดต้องการเนื้อคนเป็นอาหาร
     ไมนอสได้ทำสิ่งหนึ่งที่สามารถหยุดยั้งสัตว์ร้ายไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านหาคนกินตามอำเภอใจ ด้วยการสั่ง แดดาลุส ให้สร้างคุกที่ไ่ม่มีทางออก แดดลาลุสจึงสร้างห้องโถงที่มีทางเข้าออกวกวนเป็นเขาวงกต ซึ่งมิโนทอร์ไม่สามารถออกไปได้จริงๆ เสียด้วย
     ไมนอสได้ทราบข่าวด้วยหัวใจชอกช้ำซ้ำสอง เพราะโอรสทั้งสองพระองค์ได้ถูกชาวเอเธนส์สังหาร พระองค์จึงกรีฑาทัพโอบล้อมเอเธนส์ จนชาวเอเธนส์ต้องเจรจาหย่าศึก ไมนอสมีข้อแม้เดียวคือ ทุกๆ เก้าปี เอเธนส์จะต้องส่งหญิงสาว 7 คน และชายหนุ่ม 7 คน เพื่อจะนำเหยื่อเหล่านี้ส่งไปในเส้นทางวกวนที่มีเพียงแสงสลัวๆ ซึ่งเหยื่อเหล่านั้นก็พบจุดจบที่สยดสยอง
     จนกระทั่งเกิดวีรบุรุษขึ้นนามว่า ธีซูส เขาได้เดินทางไปกับบรรดาเหยื่อรุ่นใหม่ เรื่องสำเร็จได้เพราะความรัก อรีแอดนี ธิดาของไมนอสตกหลุมรักชาวหนุ่มเอเธนส์ทันทีที่เห็น ขณะที่ยามผลักไสธีซูสให้เข้าไปในเขาวงกต อรีแอดนี ก็ยัดด้ายใส่มือเขาไปด้วย
     ธีซูสโรยด้ายมาตามทางเดินที่วกวน เขาคอยเงี่ยหูฟังเสียงมิโนทอร์อย่างระมัดระวัง จวบจนกระทั่งถึงทางหักเลี้ยวแรก ธีซูสได้ยินเสียงฝีเท้าคน พร้อมกับเสียงหายใจฟืดฟาดของวัวที่พุ่งเข้าหาด้วยความเร็ว
     แทนที่จะได้ลิ้มรสเนื้อหอมหวานนุ่มของหนุ่มสาวเหมือนเช่นเคย มิโนทอร์กลับเจอกับนักรบที่คล่องแคล่วว่องไว ธีซูสสามารถกระโดดหลบการโจมตีของมิโนทอร์ได้ทุกครั้ง พบได้โอกาสก็จับเขาของมิโนทอร์ไว้ และใช้กำลังออกแรงบิดอย่างฉับพลัน ทำให้คอของมิโนทอร์หักสะบั้น วัวดุในร่างมนุษย์ที่ดุร้ายน่าสะพรึงกลัวของครีตก็ได้สิ้นชื่อในบัดดล


ราชสีห์นีเมียน (Nemean)

     อสูรกายนีเมียน เป็นลูกของอสูรไทฟอนและอสูรอิคิดนามันคือหลานของจีอา พระแม่ธรณีนั่นเอง 
     ลักษณะของราชสีห์นีเมียนนั้น แท้จริงก็คือสิงโตนั่นเอง เพียงแต่แตกต่างจากสิงโตทั่วไปตรงที่เป็นสิงโตยักษ์ชอบจับผู้คนกินเป็นอาหาร และยังมีผิวกายที่แข็งมากแม้แต่ลูกธนูหรือไม้พลองของเฮอร์คิวลิสก็ไม่อาจทำอะไรมันได้
     เมื่อครังที่เฮอร์คิวลิสซึ่งเป็นบุตรของเทพเจ้าซูสและเจ้าหญิงแอลค์มีนี ได้รับคำสั่งจากยูริสเทียส กษัตริย์แห่งมีเซเนีย ซึ่งเป็นญาติ สั่งให้เขาทำงานเสี่ยงอันตราย 12 อย่างเพื่อเป็นการไถ่บาปตามคำทำนายของคนทรงจากเทวาลัยพยากรณ์แห่งเดลฟี งานชิ้นแรกของเฮอร์คิวลิสก็คือปราบราชสีห์นีเมียนนี่แหละ
     เฮอร์คิวลิสไล่ล่าเจ้านีเมียนออกมาจากถ้ำแล้วต่อสู้กับมันด้วยมือเปล่า และสามารถบีบคอมันจนตายคามือ ต่อจากนั้นจึงถอดเอาเล็บและถลกหนังมาคลุมร่างใช้เป็นเกราะป้องกันตัวในการออกผจญภัย เจ้านีเมียนอสุรกายราชสีห์ก็เป็นอันสิ้นชื่อเพียงเท่านี้
     


ไฮดรา (Hydra)

     ไฮดรา อาศัยอยู่ในบึงเลอร์นา เป็นหนึ่งในหกของลูกอสูรกายไทฟอนและอสูรกายอิคิดนา
     ไฮดรามีบทบาทและปรากฏตัวขึ้นในงานชิ้นที่สองของเฮอร์คิวลิส คือ ต้องไปปราบไฮดราอสูรกาย 9 หัว บางตำนานบอกว่า มี 10 หัว บางตำนานบอกว่ามีถึง 100 หัว ข้อนั้นไม่น่าหวั่นเกรงเท่ากับว่าเจ้าอสุรกายตัวนี้เมื่อหัวใดหัวหนึ่งของมันถูกตัดขาดก็จะมีหัวใหญ่งอกขึ้นมาเพิ่มเป็นสองหัว
     ไฮดรา คืออสูรกายซึ่งเป็นส่วนผสมของสัตว์หลายชนิด คือมีลำตัวเป็นสุนัข ร่างกายปกคลุมด้วยเกล็ดปลาแข็งแกร่ง มีหางเหมือนมังกร ส่วนหัวนั้นเหมือนงูหรือมังกร นอกจากนั้นลมหายใจของมันยังมีพิษร้ายขนาดทำให้คนที่เข้าใกล้ถึงแก่ความตายได้ ดังนั้นเฮอร์คิวลิสจึงต้องสูดลมหายใจให้เต็มปอดแล้วจึงค่อยวิ่งเข้าไปราวี โดยเอากระบองฟาดใส่หัวของมันด้วยแรงอันมหาศาลของเขา ทำให้หัวของไฮดราขาดกระเด็นลงมาหนึ่งหัวแต่มันก็งอกขึ้นมาใหม่ถึงสองหัว
     แต่ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของเฮอร์ีิคิวลิส เมื่อตัดหัวของไฮดราได้แล้วจึงได้ให้ผู้ช่วย คือ ไอโอลอส ผู้เป็นบุตรของอิฟิคลีส น้องคู่แฝดของเฮอร์คิวลิส โดยให้ไอโอลอสนำไฟลนที่คอของไฮดราเพื่อมิให้มีหัวใหม่งอกออกมา
     เมื่อสามารถตัดหัวสุดท้ายของไฮดราได้สำเร็จ เฮอร์คิวลิสได้เอาลูกธนูที่เทพบุตรอพอลโลประทานให้จุ่มเลือดของไฮดราเพื่อใช้เป้นลูกศรพิษ อาวุธสำคัญในการปราบอสูรกายตัวอื่นๆ ต่อไป เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจอีกชิ้นหนึ่งที่สำคัญ ก็เป็นการปิดฉากชีวิตของไฮดราไปด้วย


สฟิงซ์ (Sphinx)

     สฟิงซ์ เป็นสัตว์ในตำนานที่ดูเหมือนจะมีความหลากหลายมากตัวหนึ่ง ทั้งนี้เพราะแท้จริงมันไม่เพียงปรากฏอยู่ในเทพนิยายของกรีกเท่านั้น แต่ยังมีอยู่ทั่วไปในตำนานของชาติอื่นๆ อีกหลายชาติ เพียงแต่อาจจะมีลักษณะแตกต่างกันไปบ้างเท่านั้น ตามแต่บรรยากาศและสภาพแวดล้อม
     สฟิงซ์ของกรีกเป็นหนึ่งในลูกๆ ของอีคิดนาและไทฟอน สฟิงซ์มีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโตและมีปีกแบบนกอินทรีมีลักษณะนิสัยขอบทรยศหักหลัง ก้าวร้าวรุนแรงและกระหายเลือด และพวกนี้ยังชอบกินคนเป็นอาหารด้วย
     ลักษณะเด่นชัดของสฟิงซ์กรีกอีกอย่างหนึ่งก็คือความคล้ายแมวหรือจะ่ว่าอีกทีก็คล้ายผู้หญิงด้วย นั่นคือมันจะพูดคุยหยอกเหยื่อของมันก่อนที่จะกินเข้าไป แ่ต่อย่างไรก็ตามถ้าหากเกิดเหยื่อหนีรอดไปได้ สฟิงซ์จะบินดิ่งทิ้งตัวกระแทกพื้นหรืออะไรสักอย่างด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตายไปเอง
     ตามปกติสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อที่ผ่านมาในทันทีทันใด แต่จะให้โอกาสเหยื่อด้วยการถามปัญหา ที่เรียกกันว่าปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx) ซึ่งสัญญาจะปล่อยเหยื่อเป็นอิสระหากตอบปัญหาของนางได้ ตามท้องเรื่องที่จะกล่าวถึงอีดิปุส แห่งโครินท์ผ่านมาในเมืองธีบีสพอดิบพอดี สฟิงซ์กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ แลบลิ้นเลียปากด้วยความอยากกินเนื้อ ก่อนจะส่งเสียงคำรามให้ขวัญหายเข้าใส่อีดีปุสและถามปัญหา 
     "อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสองตีนในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น?"
     แต่อีดีปุสตอบอย่างไม่ลังเล "อ๋อ มันก็คือมนุษย์นั่นแล ย่อมเดินด้วยการคลานทั้งมือและเข่าเมื่อยังเป็นเด็ก ยืนด้วยขาสองขาเมื่อโตเต็มที่และต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเป็นขาที่สามในยามสายัณห์ของชีวิต"
     สฟิงซ์เมื่อได้รับฟังคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากมนุษย์หน้าไหนเลย ถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ นางโผบินขึ้นไปบนฟ้าแล้วทิ้งตัวดิ่งลงฆ่าตัวตายในทะเล


ไคเมร่า (Chimera)

     ไคเมร่า เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก ในตำนานเล่าว่าไคเมร่าเป็นลูกของอิคิดนาและไทฟอน เป็นพี่ชายของเซอร์เบอรัส ไคเมร่ามีร่างกายกำยำและเป็นที่รวมของสัตว์ร้าย 3 ชนิด คือ ส่วนหัวถึงหน้าอกเป็นสิงโต ลำตัวเป็นแพะ แต่บั้นท้ายกลับเป็นงู นอกจากนี้ยังสามารถพ่นไฟออกมาได้เหมือนมังกรอีกด้วย 
     เรื่องของเรื่องคือ ไคเมร่าบุกเข้าทำลายเมืองลีเซีย ทำให้กษัตริย์โลเบทีส ซึ่งเป็นเจ้าปกครองเมืองอยู่ในขณะนั้น ต้องการผู้มาปราบเจ้าสัตว์ร้ายตนนี้ บังเอิญวีรบุรุษเบลเลอโรฟอนขี่ม้าบินเพกาซัสผ่านมาพอดีจึงอาสาที่จะฆ่าเจ้าสัตว์ร้ายตนนี้ แต่มันออกจะเป็นเรื่องยาก เพราะ แต่ละหัวของมันมองได้ทุกทิศทาง เบอเลอโรฟอนขี่ม้าบินเพกาซัสฉวัดเฉวียนอยู่เหนือคู่ต่อสู้ คอยหลบเปลวเพลิงที่พวยพุ่งออกมาจากปากของมัน และกระหน่ำห่าธนูใส่ จนในที่สุดเจ้าอสูรก็สิ้นชีพ


เซอร์เบอรัส (Cerberus)

     เซอร์เบอรัส หรือ เคอร์เบอรอส แปลว่า ปิศาจในหลุม เป็นสัตว์ในเทพปกรณัมกรีก มีรูปร่างเป็นสุนัขสีดำใหญ่โตพ่วงพี มี 3 หัว ปลายสุดของหายเป็นงู (บางตำนานว่าเป็นหางมังกร) เซอร์เบอรัสมีหน้าที่เฝ้าทางลงสู่นรกที่หน้าประตูทางเข้าทาร์ืทะรัส
     เซอร์เบอรัสเป็นผู้รับใ้ช้ที่ซื่อสัตย์ของฮาเดส มันจะยอมให้วิญญาณของคุนทุกคนเข้าประตู แต่จะไม่ยอมให้กลับออกมาเป็นอันขาด เมื่อไปถึงประตูนี้ วิญญาณแต่ละดวงจะถูกพาไปรับคำพิพากษาของสามเทพสุภาคือ ราดาแมนทีส ไมนอส และ ไออาคัส วิญญาณที่ชั่วร้ายจะถูกพิพากษาให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในตรุทาร์ทะรัสไปชั่วกัลป์ ส่วนวิญญาณที่ดีจะได้รับคำพิพากษาให้พาไปอยู่ยังทุ่งอีลิเซียนแดนสุขาวดีของกรีก
     นอกจากนี้ เซอเบอรัสยังอยู่ในภาระกิจที่ 12ของเฮอร์คิวลิสอีกด้วยเฮอร์คิวลิสสามารถจับเซอร์เบอรัสได้ด้วยพลังอันมหาศาลของเขา นอกจากเฮอร์คิวลิสแล้ว ออร์เฟียสเคยใช้เสียงเพลงสะกดเซอร์เบอรัสให้เชื่องขณะเข้าไปในยมโลกเพื่อคืนชีพให้คนรัก ในตำนานของโรมัน ไซคีได้ทำให้เซอร์เบอรัสหลับด้วยเค้กน้ำผึ้งใส่ยานอนหลับ


ลาดอน (Ladon)

     ลาดอน เป็นอีกหนึ่งในลูกของไทฟอนและอีคิดนา เป็นมังกรร้อยหัว มีหน้าที่เฝ้าสวนแห่งเทพธิดาเฮสพิริเดส ธิดาแห่งรัตติกาล ที่ซึ่งว่ากันว่าเป็นที่เก็บแอปเปิลทองคำ ซึ่งสวนแห่งนี้มีที่ตั้งอยู่ ณ สุดขอบโลก ลาดอนนี้บางครั้งผู้คนมักเรียกว่ามันเป็นมังกรซ่อนหาก็เพราะว่ามันจะเล่นซ่อนแอบกับเฮลพิริเดสอยู่ในสวนของนาง สวนแห่งนี้เป็นสวนสวรรค์ที่ตั้งอยู่บนท้องฟ้า มีแอทลาสเป็นผู้แบกเอาไว้บนบ่า ดังนั้นนอกจากงานเฝ้าสวนสวรรค์แล้วลาดอนเลยคอยแกล้งแอทลาสเป็นประจำ
     ตามตำนานเล่าว่าเมื่อครั้งที่เฮอร์คิวลิสไปที่สวนนี้เพื่อเอาแอปเปิลในภาระกิจทั้ง 12 ของเขานั้น ช่วงแรกเฮอร์คิวลิสเองก็หาแอปเปิลและสวนที่ว่านี้ไม่เจอเหมือนกัน แต่ต่อมานีรีอุสเทพแห่งท้องทะเลมาบอกแก่เขา
     เมื่อมีจุดหมายแน่นอน เฮอร์คิวลิสก็มุ่งตรงไปยังสวนแห่งนี้เขาพบกับยักษ์แอทลาสซึ่งมีหน้าที่แบกสวนแห่งนี้เอาไว้
     เฮอร์คิวลิสก็ใ้ช้อุบายหลอกให้แอทลาสเข้าไปเอาแอปเปิลทองคำมาให้ตนโดยเขาจะทำหน้าที่แบกลูกโลกไว้แทน ว่าแล้วแอทลาสก็ดีใจยอมยกโลกที่แบกให้กับเฮอร์คิวลิส แล้วเข้าไปในสวนนั้นเป็นเวลา 3 วัน แล้วกลับมาพร้อมกับแอปเปิลทองคำมาวางแทบเท้าของเฮอร์คิวลิส
     งานของแอทลาสสำเร็จหวังว่าจะได้หยุดแบกโลกเสียทีเพราะเฮอร์คิวลิสมารับภาระไว้แล้ว แต่สุดท้ายเฮอร์คิวลิสก็ออกอุบายอีกครั้งทำให้แอทลาสต้องกลับมาแบกโลกใหม่ โดยเฮอร์คิวลิสขอเวลาหาที่รองบนไหล่เพื่อให้เขาสามารถแบกรับน้ำหนักโลกและสวรรค์ได้ เมื่อแอทลาสมาแบกโลกต่อ เฮอร์คิวลิสก็หยิบแอปเปิลและวิ่งหนีไป
     ระหว่างที่หนีนั้นเฮอร์คิวลิสเจอกับลาดอนมังกรยักษ์ เกิดการต่อสู้กันและฆ่าลาดอนได้สำเร็จด้วยธนู


นี่เป็นเพียง 1 ส่วนของตำนานสัตว์ในเทพนิยายกรีก-โรมันโบราณ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนั้นอ้างอิงมาจาก หนังสือสัตว์ประหลาดในเทพนิยายกรีก-โรมัน ที่เรียบเรียงโดย DR.KNOW ซึ่งหากอยากรู้เรื่องราวความเป็นมาเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากร้านหนังสือทั่วไป